ผู้เขียน หัวข้อ: งานมอเตอร์โชว์: เปิดตัว Lamborghini Temerario ทายาท Huracan ขุมพลัง V8 PHEV 907  (อ่าน 36 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 238
  • รับโพสเว็บ รับจ้างโพส โปรโมทเว็บ รับจ้างโปรโมทเว็บ
    • ดูรายละเอียด
งานมอเตอร์โชว์: เปิดตัว Lamborghini Temerario ทายาท Huracan ขุมพลัง V8 PHEV 907 แรงม้า

เปิดตัว Lamborghini Temerario ซุปเปอร์คาร์รุ่นใหม่จากค่ายกระทิงดุ พร้อมขุมพลัง V8 bi-turbo Plug-in Hybrid เพื่อมาเป็นตัวแทนของ Huracan ขุมพลัง V10 รุ่นเดิม
 
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนเครื่องยนต์ V12 ของ Aventador มาเป็น V12 Plug-in Hybrid (PHEV) ของ Revuelto
 

เครื่อง PHEV แรงขึ้นกว่าเดิม
 
Lamborghini Temerario มาพร้อมขุมพลัง V8 4.0 ลิตร ไบเทอร์โบ PHEV ใหม่ ซึ่งค่ายกระทิงดุเคลมว่าเป็นเครื่องยนต์รุ่นแรกและรุ่นเดียวซึ่งผลิตขายจริงที่สามารถทำรอบได้ถึง 10,000 รอบ/นาที เฉพาะเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 788 แรงม้า (588kW) แรงบิด 730 นิวตันเมตร
 
เครื่องยนต์นี้จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า axial flux ระบายความร้อนด้วยน้ำมัน 3 ตัว โดย 1 ตัวจะทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ V8 ส่วนอีก 2 ตัวอยู่ที่ล้อหน้า
 
มอเตอร์แต่ละตัวให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า (110 kW) และมีน้ำหนักตัวละ 15.5 กก. ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 3.8 kWh ทำให้สามารถวิ่งในโหมด EV ได้ และ Lamborghini ยังเคลมว่าการผสานพลังงานไฟฟ้าเข้ามาทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับ Huracan
 

เมื่อรวมทุกระบบแล้วจะมีกำลังสูงสุด 907 แรงม้า (677kW) โดยให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 343 กม./ชม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ dual clutch 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ
 
Lamboghini ระบุว่า มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเติมช่องว่างแรงบิดจากเทอร์โบ ซึ่งจะให้แรงบิดสูงเมื่อรอบเครื่องยนต์สูง และเคลมว่าเครื่องยนต์นี้จะให้ความสมูทพร้อมคาแรคเตอร์รอบสูงเหมือนกับเครื่องยนต์ NA ส่วนเทอร์โบจะสามารถบูสท์ได้สูงสุด 2.5 บาร์


เสียงยังเร้าใจเช่นเคย
 
Lamborghini ยังต้องการให้เสียงเครื่องยนต์มี “ประสบการณ์เสียงที่ไม่ผิดเพี้ยน” Rouven Mohr ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของลัมโบร์กินี่กล่าวว่า “ด้วยเครื่อง V8 ไบเทอร์โบ แอมพลิจูดและความถี่ของเสียงจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น และด้วยเพลาข้อเหวี่ยงแบน จะช่วยลดการสั้นของเครื่องยนต์ให้น้อยลงเมื่อความเร็วเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น”
 
ค่ายกระทิงดุยังกล่าวถึง “การเชื่อมต่อพิเศษ” ระหว่างเครื่องยนต์เพื่อสร้างเสียงเมื่อความเร็วเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ขณะที่ระบบไอเสียที่เดินทางจากท่อรวมไปยังปลายท่อจะให้ “เสียงที่สะอาดและชัดเจน”
 
วิศวกรยังออกแบบแท่นเครื่องยนต์และตัวถังเพื่อให้มั่นใจว่าคาแรกเตอร์เพลาข้อเหวี่ยงแบนจะยังคงอยู่เมื่อความเร็วสูงหรือเมื่อตอนเครื่องยนต์ทำงานอย่างเต็มที่
 
ผู้เรียบเรียงเสียงยังผสานคลื่นเสียงมาสู่ภายในของรถ รวมถึงระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าก็ยังมีเสียงของตัวเองเมื่อกำลังทำงานอยู่ด้วยเช่นกัน
 
ลัมโบร์กินี่ออกแบบให้ Temerario มีเสียงเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันในแต่ละโหมดการขับขี่ เริ่มด้วย Città mode (โหมดเงียบ) ไปจนถึง Strada (สบายและลื่นไหล) จนถึงโหมด Sport และ Corsa (ขยายเสียงและน่าตื่นเต้น)
 
นอกจากนี้ยังมีโหมด Recharge, Hybrid, Performance and Drift ซึ่งแต่ละโหมดจะเลือกได้ถึง 3 ระดับ โดยลัมโบร์กินี้เคลมว่าเราจะได้รับประสบการณ์ขับขี่ได้ถึง 13 แบบเลยทีเดียว
 
สำหรับเกียร์อัตโนมัติ DCT 8 สปีดจะมีน้ำหนักเบากว่าเกียร์ DCT 7 สปีดของ Huracan รวมถึงสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วกว่า และถูกติดตั้งในแนวขวางด้านหลังเครื่องยนต์ V8
 

รถคันนี้ยังมาพร้อมระบบ electric torque vectoring เพื่อช่วยในการเข้าโค้งให้คล่องตัวและเพิ่มเสถียรภาพเมื่อความเร็วสูง รวมถึงจะแทรกแซงการเบรคเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น Temerario มาพร้อมตัวถังอลูมิเนียม และอยู่บนแชสซีอลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยทนต่อแรงบิดตัวมากขึ้นถึง 20%
 
สำหรับน้ำหนักตัวของรถคันนี้อยู่ที่ 1,630 กก. เทียบกับ Huracan ที่ 1,422 กก. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด 3.8 kWh ซึ่งติดตั้งกลางรถเพื่อรักษาจุด CG ให้ต่ำ แบตเตอรี่ดังกล่าวสามารถชาร์จ AC ด้วยความเร็วสูงสุด 7 kW แถมสามารถปรั่นไฟกลับเข้าแบตด้วยระบบ regenerative braking อีกด้วย
 
ทั้งหมดนี้รองรับด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Potenza Sport ขนาด 255/35 ZR20 ที่ล้อหน้า และ 325/30 ZR21 สำหรับล้อหลัง
 

สำหรับการเบรคมาพร้อมระบบเบรคคาร์บอนเซรามิคพร้อมคาลิปเปอร์อะลูมิเนียมโมโนบล็อก ขนาด 10 pistons ที่ด้านหน้า และขนาด 4 pistons ที่ด้านหลัง โดยขนาดจานเบรคด้านหน้าอยู่ที่ 410 x 38 มม. ส่วนด้านหลัง 390 x 32 มม.
 
แชสซีใหม่ แข็งแรงขึ้น ห้องโดยสารกว้างขึ้น
 
Lamborghini ยังกล่าวว่า แชสซี spaceframe chassis ใหม่ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้พื้นที่ภายนห้องโดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยอ้างว่าตัวรถมีพื้นที่นั่งและพื้นที่เก็บของมากกว่ารถรุ่นอื่นในเซกเมนต์เดียวกัน โดยมีพื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้นจากเดิม 34 มม. พื้นที่วางขามากขึ้น 46 มม. ซึ่งทำให้คนสูง 200 ซม. ที่สวมหมวกนิรภัยสามารถนั่งได้สบาย
 
ลัมโบร์กินี่ยังเคลมว่าคอนโซลกลางสามารถวางของอย่างสมาร์ทโฟนและกระเป๋าเงินได้ แถมยังมีกล่องเก็บของขนาดใหญ่ถึง 112 ลิตร
 
เบาะนั่งของรถเป็นแบบสปอร์ตพร้อมปรับด้วยไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อมระบบอุ่น/เป่าเบาะ สามารถเพิ่มออพชันเป็นหุ้มคาร์บอนไฟเบอร์  2 ชั้นได้อีกด้วย
 
ภายในได้รับการออกแบบให้เหมือนอยู่บนห้องนักบิน สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย พร้อมปุ่มสตาร์ทรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบิน
 
พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง ด้านซ้ายของพวงมาลัยคือปุ่มหมุนเพื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ รวมถึงเป็นปุ่มกดของโหมด Race รวมถึงมีปุ่มสำหรับไฟเลี้ยวอยู่บนพวงมาลัยเลย การเข้าถึงฟังก์ชัน Launch control ทำได้เพียงการกดปุ่มเท่านั้น
 
สำหรับมาตรวัดเป็นแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอกลางขนาด 8.4 นิ้วรองรับระบบสัมผัส รวมถึงระบบ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย และจอขนาด 9.1 นิ้วสำหรับผู้โดยสารอีกด้วย
 
รถคันนี้ยังมีออพชัน Lamborghini Vision Unit (LAVU) ซึ่งประกอบด้วยกล้องทั้งหมด 3 ตัวด้านในและนอกรถ พร้อมกับตัวควบคุมที่สามารถบันทึกการขับขี่ของเราได้
 
 
พร้อมกับสามารถใช้แอพ Lamborghini Unica เพื่อตรวจสอบรถของเราเมื่ออยู่ในระยะไกล รวมถึงดูข้อมูลต่าง ๆ ของรถ เช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงและความจุแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถบันทึกการขับในสนามและแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอกลางของรถได้ โดยสามารถบันทึกได้ถึง 150 สนามเลยทีเดียว
 

ของแต่งที่เลือกได้ตามใจชอบ
 
สำหรับการตกแต่งรอบคันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการทั้งภายนอกภายในที่มีตัวเลือกมากมาย พาร์ทภายนอกสามารถเลือกเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงสีภายนอกหลายเฉดสีก็มีให้เลือกผ่านโปรแกรม Ad Personam ของ Lamborghini ได้เลย
 
สำหรับล้อสามารถเลือกได้ทั้งแบบหล่อปกติ, forged ไปจนถึงล้อคาร์บอน และมีหลายสีให้เลือก
 
นอกจากนี้ยังเพิ่มแพ็คเกจน้ำหนักเบา Alleggerita package ซึ่งจะลดน้ำหนักของรถได้ 12.65 กก. สำหรับส่วนของตัวถัง และลดได้ถึง 25 กก. สำหรับอุปกรณ์ภายใน ประกอบด้วย สปลิตเตอร์และสเกิร์ตคาร์บอนไฟเบอร์แบบ CFRP และแผงใต้ท้องรถที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์รีไซเคิล พร้อมการตกแต่งภายในด้วยคาร์บอนไฟเบอร์รวมถึงกระจกหน้าต่างด้านหลังน้ำหนักเบา พร้อมกระจกหน้าต่างด้านข้างแบบโพลีคาร์บอนเนตแบบตายตัว
 
Lamborghini Temerario มาพร้อมดีไซน์หกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของค่าย แต่ล้ำไปกว่านั้นด้วยการใช้ทรงหกเหลี่ยมกับไฟ DRL ที่ช่องดักอากาศด้านข้าง, ไฟท้าย และช่องของท่อไอเสีย และเมื่อมองจากภายนอกเราจะเห็นเครื่องยนต์ได้ชัดเจน
 
สำหรับแรงกดด้านหลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 103% เมื่อเทียบกับ Huracan Evo และจะมากกว่าถึง 158% เมื่อมาพร้อมออพชันชุดแต่ง Alleggerita Pack
 
Lamborghini Temerario ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มาพร้อมระบบส่งกำลังไฟฟ้าจากทั้งหมด 3 รุ่น และสำหรับซุปเปอร์คาร์ไฟฟ้าล้วนของค่ายกระทิงดุคาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2028