แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 37
1
เซ็ตสกินแคร์เป็นของขวัญปีใหม่ที่ตอบโจทย์สาว ๆ ทุกช่วงวัย

การเลือกเซ็ตสกินแคร์เป็นของขวัญปีใหม่เป็นความคิดที่ดีมากเลยค่ะ เพราะเป็นของขวัญที่มีประโยชน์และแสดงถึงความใส่ใจในสุขภาพผิวของผู้รับได้เป็นอย่างดี แถมยังมีเซ็ตให้เลือกหลากหลาย ตอบโจทย์สาวๆ ทุกช่วงวัย


การเลือกเซ็ตสกินแคร์สำหรับสาว ๆ แต่ละช่วงวัย

ช่วงอายุ 20+ ปี: วัยนี้ผิวจะยังมีความยืดหยุ่นดี แต่ก็ควรเริ่มบำรุงเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว ควรเลือกเซ็ตที่มีส่วนผสมช่วยเรื่องความชุ่มชื้นและลดความมัน เช่น เซรั่มวิตามินซี หรือ เจลบำรุงผิวที่บางเบา

ช่วงอายุ 30+ ปี: วัยนี้ผิวเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ และอาจจะขาดความชุ่มชื้น ควรเลือกเซ็ตที่เน้นการบำรุงที่เข้มข้นขึ้น เช่น เซรั่มที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิกแอซิด หรือ ครีมบำรุงผิวที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย

ช่วงอายุ 40+ ปี: วัยนี้ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและความกระชับ ควรเลือกเซ็ตที่ช่วยเรื่องการยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยอย่างจริงจัง เช่น เซ็ตบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของเรตินอล หรือ ครีมบำรุงรอบดวงตา

นอกจากนี้ การเลือกเซ็ตสกินแคร์ที่มีบรรจุภัณฑ์สวยงามหรือมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความพิเศษให้กับของขวัญได้ค่ะ

หากคุณทราบประเภทผิวของผู้รับ เช่น ผิวมัน, ผิวแห้ง, หรือผิวแพ้ง่าย จะช่วยให้ฉันแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นได้ค่ะ คุณต้องการให้ฉันช่วยหาเซ็ตสกินแคร์ที่เหมาะกับประเภทผิวแบบไหนเป็นพิเศษไหมคะ

2
วิธีสร้างรายได้จากการขายอาหารบน GrabFood เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยม

ด้วยการเติบโตของบริการจัดส่งอาหาร การขายอาหารบน GrabFood จึงกลายเป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับร้านอาหารและธุรกิจอาหารที่บ้านในการสร้างรายได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเชฟมืออาชีพ เจ้าของร้านอาหารเล็กๆหรือคนที่หลงใหลในการทำอาหาร GrabFood มอบโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นโดยไม่ต้องมีหน้าร้านจริง นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนในการเริ่มต้นและเพิ่มความสำเร็จของคุณให้สูงสุด

การสร้างรายได้จากการขายอาหารบนแกร็บฟู้ดเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมหรือสร้างธุรกิจร้านอาหารของตนเอง
1. ทำความเข้าใจ GrabFood และประโยชน์ของมัน
GrabFood เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับจัดส่งอาหารซึ่งเชื่อมโยงลูกค้ากับร้านอาหารและผู้ขายอาหารที่บ้าน ประโยชน์บางประการของการขายบน GrabFood ได้แก่:
✅ เพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้า
✅ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่รับประทานอาหารในร้าน
✅ เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
✅ โซลูชันการชำระเงินดิจิทัลสำหรับธุรกรรมที่ง่ายดาย

2. ลงทะเบียนธุรกิจของคุณบน GrabFood
หากต้องการเริ่มขายของ คุณต้องลงทะเบียนเป็นผู้ค้าบน GrabFood ก่อน โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
ลงทะเบียนบน GrabMerchant – เข้าไปที่เว็บไซต์ GrabMerchant และกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
ส่งเอกสารที่จำเป็นซึ่งอาจรวมถึงการจดทะเบียนธุรกิจ การระบุตัวตนผู้เสียภาษี และใบอนุญาตความปลอดภัยทางอาหาร
ตั้งค่าเมนูของคุณ – อัปโหลดรูปภาพคุณภาพสูง คำอธิบาย และราคาของอาหารของคุณ
เปิดใช้งานบัญชีของคุณ – เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว คุณสามารถเริ่มรับคำสั่งซื้อได้

3. สร้างเมนูที่น่าสนใจและสร้างกำไร
เมนูของคุณมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้า นี่คือวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ:
✔ ใส่รูปภาพที่มีคุณภาพสูง – ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อมากขึ้นหากอาหารดูน่ารับประทาน
✔ เสนอความหลากหลาย – มีขนาดส่วนและชุดอาหารที่แตกต่างกัน
✔ กำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้ – ค้นคว้าคู่แข่งของคุณและตั้งราคาตามนั้น
✔ เน้นสินค้าขายดี – นำเสนอเมนูที่ได้รับความนิยมเพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น

4. เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจของคุณเพื่อเพิ่มยอดขาย
หากต้องการเพิ่มรายได้ ให้พิจารณาใช้กลยุทธ์เหล่านี้:
🔹 เสนอโปรโมชั่น – ใช้เครื่องมือส่งเสริมการขายของ GrabFood เช่น ส่วนลดและข้อเสนอแบบรวม
🔹 รับประกันเวลาเตรียมอาหารที่รวดเร็ว – การบริการที่รวดเร็วทำให้ลูกค้ามีรีวิวที่ดีขึ้น
🔹 ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์อาหาร – ใช้ภาชนะที่ป้องกันการรั่วซึมและเก็บความร้อนได้เพื่อรักษาคุณภาพ
🔹 กระตุ้นให้มีการรีวิว – คำติชมเชิงบวกจากลูกค้าจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ซื้อได้มากขึ้น

5. จัดการต้นทุนและเพิ่มผลกำไร
การดำเนินธุรกิจจัดส่งอาหารเกี่ยวข้องกับต้นทุนต่างๆ เช่น ส่วนผสม บรรจุภัณฑ์ และค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม นี่คือวิธีจัดการค่าใช้จ่าย:
💡 ซื้อส่วนผสมเป็นจำนวนมาก – ลดต้นทุนต่อหน่วย
💡 ลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด – วางแผนสินค้าคงคลังอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการเน่าเสียของอาหาร
💡 กำหนดราคาที่มีกำไร – คำนึงถึงต้นทุนทั้งหมดก่อนกำหนดราคา

6. ส่งเสริมธุรกิจของคุณ
นอกจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มของ GrabFood แล้ว คุณยังควรทำการตลาดธุรกิจของคุณผ่าน:
📌 โซเชียลมีเดีย – ใช้ Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อแสดงอาหารของคุณ
📌 โฆษณาออนไลน์ – ลงทุนในโฆษณาแบบชำระเงินเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
📌 โปรแกรมความภักดี – เสนอส่วนลดให้กับลูกค้าที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง

7. ติดตามประสิทธิภาพการทำงานและปรับปรุง
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ GrabFood เพื่อติดตามยอดขาย ความต้องการของลูกค้า และประสิทธิภาพการทำงาน ปรับเปลี่ยนเมนู ราคา และโปรโมชั่นตามข้อมูลเพื่อปรับปรุงธุรกิจของคุณอย่างต่อเนื่อง

การขายอาหารบน GrabFood ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหาร เพียงทำตามขั้นตอนเหล่านี้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง เพิ่มประสิทธิภาพเมนูของคุณ จัดการต้นทุน และโปรโมตอย่างมีประสิทธิภาพ คุณก็สามารถสร้างธุรกิจอาหารออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จได้ เริ่มเลยวันนี้และก้าวเข้าสู่ตลาดการจัดส่งอาหารที่กำลังเติบโต

3
จัดฟันบางนา: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง หลังจากขูดหินปูน

การเกิดคราบหินปูน ถือเป็นปัญหากวนใจของใครหลายคน เพราะถ้าหากเกิดการสะสมของคราบหินปูนภายในช่องปากเป็นจำนวนมาก นอกจากจะทำให้ฟันเหลือง ฟันสีคล้ำลง และมีกลิ่นปากแล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพฟันด้านอื่นๆ ตามมาด้วย ซึ่งคราบหินปูนเกิดจากคราบจุลินทรีย์หรือเศษอาหารที่สะสมอยู่ตามซอกฟันเนื่องจากเป็นบริเวณที่ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง และทำความสะอาดช่องปากและฟันไม่ถูกต้อง และเมื่อเวลาผ่านไปคราบเหล่านี้จะจับกับเชื้อโรคกระทั่งตกตะกอนกลายเป็นของแข็งเกาะอยู่บนผิวฟัน ซอกเหงือก ซอกฟัน และขอบฟัน ทำให้เกิดคราบหินปูนนั่นเอง โดยทันตแพทย์ส่วนใหญ่ จึงแนะนำให้ผู้เข้ารับการรักษาขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง แต่หลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการขูดหินปูนว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หากไม่ขูดหินปูนจะเกิดปัญหาใดตามมา

ซึ่งแน่นอนว่า หากผู้เข้ารับการรักษาละเลยในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันหรือไม่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการขูดหินปูน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพฟันตามมาแน่นอน แต่ก็มีหลายคนที่เข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อกำจัดคราบหินปูนภายในช่องปาก และได้ทราบถึงวิธีการปฏิบัติตัว การดูแลตัวเอง รวมไปถึงการรับประทานอาหารภายหลังจากการเข้ารับการขูดหินปูน ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการอาหารที่ผู้เข้ารับการขูดฟินปูนควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบบางอย่างต่อสุขภาพฟันได้

ทั้งนี้ ในเรื่องของการรับประทานนั้น ถือว่าส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเรา หากหลังจากรับประทานอาหาร เราไม่ดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก ก็จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพฟันตามมาได้ ทั้งนี้ผู้เข้ารับการรักษาด้วยการขูดหินปูน ก็จำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟัน ทั้งยังต้องใส่ใจในเรื่องของการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารที่ผู้ที่เข้ารับการขูดหินปูนควรที่จะหลีกเลี่ยงภายหลังจากการขูดหินปูนได้แก่ ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่ใส่สี ประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ เพราะการรับประทานอาหารเหล่านี้ อาจทำให้ฟันเหลืองเร็วขึ้นได้ และอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพฟันด้วย ภายหลังจากการขูดหินปูนแล้ว  ผู้เข้ารับการรักษาควรจะสังเกตอาการผิดปกติ 


หากมีอาการเหงือกบวมอักเสบ หรือเจ็บเวลาที่กด หรือมีหนอง มีเลือดออกมา อาจมีการติดเชื้อได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการแก้ไข สำหรับวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ผู้เข้ารับการรักษาควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนนอน ควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วยอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันเศษอาหารที่อาจจะเข้าไปติดในร่องฟัน และควรไปตรวจสุขภาพฟัน และที่สำคัญผู้เข้ารับการรักษาควรจะเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อทำการขูดหินปูน อย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การขูดหินปูน เราจะต้องทากรขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แต่ผู้เข้ารับการรักษาก็ควรที่จะทำความสะอาดช่องปากและฟัน รวมไปถึงจะต้องรับประทานอาหารอย่างระมัดระวังด้วย เพื่อที่จะได้มีสุขภาพฟันที่ดี เพราะอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น ส่งผลต่อช่องปากและฟันของเราโดยตรง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความแข็ง ความเหนียว เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดฟันแตกหัก เพราะถ้าฟันเกิดแตกหัก อาจจะทำให้มีปัญหาอื่นๆตามมาได้ในอนาคต


ทั้งนี้ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน รวมไปถึงใส่ใจในเรื่องของความสะอาดของช่องปาก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดฟันผุ หรือโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับช่องปากได้ หากใครต้องการที่เข้ารับการขูดหินปูน สามารถเข้ามารับบริการได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการ รวมถึงสามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพช่องปากในด้านอื่นๆได้อีกด้วย และพิเศษสุดๆ สำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ทางเรามีโปรโมชั่น ขูดหินปูน โดยราคาเริ่มต้นที่ 799 บาท จากปกติราคา 999 บาท เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่สะอาด สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ

4
หมอออนไลน์: ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง อันเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ (คล้ายแรงลมที่ดันผนังยางรถเวลาสูบลมเข้า) ซึ่งสามารถวัดโดยใช้เครื่องวัดความดัน (sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่าคือ

1. ความดันช่วงบน หรือความดันซิสโตลี (systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ ความดันช่วงบนในคนคนเดียวกันอาจมีค่าแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ตามท่าของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และปริมาณของการออกกำลังกาย

2. ความดันช่วงล่าง หรือความดันไดแอสโตลี (diastolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว

สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

    ความดันโลหิตปกติ หมายถึง ความดันช่วงบนมีค่าต่ำกว่า 130 มม.ปรอท และความดันช่วงล่างมีค่าต่ำกว่า 85 มม.ปรอท
    ความดันโลหิตสูง (ความดันเลือดสูง ความดันสูง ก็เรียก) หมายถึง ความดันช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป

โดยมากผู้ป่วยจะมีความดันช่วงล่างสูง (diastolic hypertension) โดยความดันช่วงบนจะสูงหรือไม่ก็ได้

บางรายอาจมีความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว (มีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป) แต่ความดันช่วงล่างไม่สูง (มีค่าต่ำกว่า 90 มม.ปรอท) เรียกว่า ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว (isolated systolic hypertension/ISHT) ซึ่งนับว่ามีอันตรายไม่น้อยกว่าความดันช่วงล่างสูง และควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง

ส่วนผู้ที่ความดันช่วงบนมีค่า 130-139 มม.ปรอท และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่า 85-89 มม.ปรอท นับว่าเป็นความดันปกติแต่ค่อนไปทางสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคความดันโลหิตสูงตามมาในอนาคต

โรคความดันโลหิตสูง พบได้ประมาณร้อยละ 25 ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ส่วนมากจะเริ่มเป็นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป และพบเป็นมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น อายุ 60 ปีขึ้นไปพบได้ถึงร้อยละ 50

สาเหตุ

1. ส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 95) จะไม่พบโรคหรือภาวะผิดปกติหรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ (primary hypertension) หรือความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (essential hypertension)

แต่อย่างไรก็ตาม มักพบว่าปัจจัยทางกรรมพันธุ์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค กล่าวคือ ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติดังกล่าวประมาณ 3 เท่า

นอกจากนี้ อายุมาก ความอ้วน การกินอาหารเค็มจัดหรือมีเกลือโซเดียมสูง และการดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมของการเกิดโรคนี้

ผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุประมาณ 25-55 ปี พบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และยิ่งอายุมากขึ้นก็มีโอกาสพบได้มากขึ้น

2. ส่วนน้อย (ประมาณร้อยละ 5) อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติหรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า ความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ (secondary hypertension) หรือความดันโลหิตสูงชนิดมีสาเหตุ

ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ความดันช่วงบน ≥ 180 หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท
    มีความดันโลหิตสูงซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที
    ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นก่อนอายุ 30 ปี หรือหลังอายุ 50 ปี
    พบภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น หัวใจห้องล่างซ้ายโต มีค่าครีอะตินีนในเลือด > 1.5 มก./ดล.
    จอตาเสื่อม (hypertensive retinopathy) ระดับ 3 หรือ 4
    คุมความดันไม่ได้หลังจากเคยคุมได้ดีมาก่อน หรือใช้ยาลดความดันหลายชนิดแล้วยังคุมความดันไม่ได้
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ

3. ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว มักพบในผู้สูงอายุ (ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งมีโอกาสพบได้มากขึ้น) โรคคอพอกเป็นพิษ ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (coarctation of aorta) ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (aortic insufficiency)

4. ความดันโลหิตอาจสูงได้ชั่วคราว เมื่อมีภาวะที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เช่น ไข้ ซีด ออกกำลังกายใหม่ ๆ อารมณ์เครียด (เช่น โกรธ ตื่นเต้น) เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องรักษา จะหายไปได้เองเมื่อปัจจัยเหล่านี้หมดไป

อาการ

ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแต่อย่างใด และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญขณะไปให้แพทย์ตรวจรักษาด้วยปัญหาอื่น

ส่วนน้อยอาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ มักจะเป็นเวลาตื่นนอนใหม่ ๆ พอตอนสายจะทุเลาไปเอง

ในรายที่เป็นมานาน ๆ หรือความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ มือเท้าชา ตามัว หรือมีเลือดกำเดาไหล

เมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา ก็อาจแสดงอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น เจ็บหน้าอก บวม หอบเหนื่อย แขนขาเป็นอัมพาต เป็นต้น

ในรายที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ ก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น มีระดับความดันโลหิตแกว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ร่วมกับอาการปวดศีรษะ ใจสั่น และเหงื่อออกเป็นพัก ๆ (อาจเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไตฟีโอโครโมไซโตมา) ปวดหลังร่วมกับปัสสาวะขุ่นแดง (อาจเป็นนิ่วไต) ต้นแขนและขาอ่อนแรงเป็นพัก ๆ (อาจเป็นภาวะแอลโดสเตอโรนสูงชนิดปฐมภูมิ) มีอาการนอนกรนผิดปกติ (อาจเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ) รูปร่างอ้วนฉุ หน้าอูม มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ และมีประวัติกินยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอน (อาจเป็นโรคคุชชิง) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่นาน ๆ มักจะเกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต ประสาทตา เป็นต้น เนื่องจากความดันโลหิตสูงจะทำให้หลอดเลือดแดงแทบทุกส่วนของร่างกายเสื่อม เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

1. หัวใจ จะทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy/LVH) ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นมากขึ้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ เกี่ยวกับหัวใจตามมาได้

โรคนี้ยังอาจทำให้หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบกลายเป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก ถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย

นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย ซึ่งจะมีอาการบวม หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้

ในรายที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรง อาจตรวจพบหัวใจเต้น > 120 ครั้ง/นาที และจังหวะไม่สม่ำเสมอจากหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว

2. สมอง อาจเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก กลายเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย

ในรายที่มีหลอดเลือดฝอยในสมองส่วนสำคัญแตกก็อาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

บางรายถ้าเป็นเรื้อรังอาจกลายเป็นโรคความจำเสื่อม สมาธิลดลง

ในรายที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ซึม เพ้อ ชัก หรือหมดสติได้ เรียกว่า "Hypertensive encephalopathy"

3. ไต อาจเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง เนื่องจากหลอดเลือดแดงแข็ง เลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ ไตที่วายจะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น กลายเป็นวงจรที่เลวร้าย การตรวจปัสสาวะจะพบสารไข่ขาว (albumin) ตั้งแต่ 2+ ขึ้นไป การเจาะเลือดทดสอบการทำงานของไต จะพบระดับของสารบียูเอ็น (BUN) และครีอะตินีน (creatinine) สูง

4. ตา จะเกิดภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงภายในลูกตาอย่างช้า ๆ ในระยะแรกหลอดเลือดจะตีบ ต่อมาอาจแตกมีเลือดออกที่จอตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม เรียกว่าภาวะ "จอตาเสื่อม" (hypertensive retinopathy) จะมีอาการตามัวลงเรื่อย ๆ จนตาบอดได้ ซึ่งสามารถใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจดูความผิดปกติภายในลูกตา

นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดภาวะจุดภาพชัดเสื่อมตามวัย โรคหลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ทำให้สายตาพิการได้

5. หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งอาจเกิดอันตรายถึงตายได้

นอกจากนี้ อาจเกิดโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (peripheral artery disease) เนื่องจากความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดแดงส่วนที่มาเลี้ยงขาและปลายเท้าเกิดภาวะแข็งตัวและตีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการสูบบุหรี่ และ/หรือมีโรคเบาหวานร่วมด้วย ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาและปลายเท้าได้น้อย อาจมีอาการเป็นตะคริวบ่อย หรือปวดน่องขณะเดินมาก ๆ หากหลอดเลือดแดงเกิดอุดตันก็อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือด และกลายเป็นเนื้อตายเน่า (gangrene) ได้ (อ่านเพิ่มเติมที่โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ)

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นรุนแรงหรือรวดเร็วเพียงใดขึ้นกับความรุนแรงและระยะของโรค ถ้าความดันมีขนาดสูงมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้รวดเร็ว และผู้ป่วยอาจตายได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (ถ้ารุนแรงมากอาจตายภายใน 6-8 เดือน) ส่วนในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อย หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจใช้เวลา 7-10 ปี ในการเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าสามารถควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ก็อาจป้องกันมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ หรือทำให้ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นลดความรุนแรงลงได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ) สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเร็วขึ้น จึงควรควบคุมโรคและพฤติกรรมเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจพบค่าความดันเฉลี่ยจากการวัดที่สถานพยาบาลตั้งแต่มาพบแพทย์ครั้งแรกเป็นหลัก โดยทำการวัดความดันในท่านั่ง อย่างน้อย 2 ครั้ง (ห่างกัน 1-2 นาที) แล้วหาค่าเฉลี่ย ถ้าพบว่าค่าความดันเฉลี่ยสูงกว่าปกติ คือ ความดันโลหิตช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พบความผิดปกติชัดเจน ยกเว้นในรายที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ อาจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น

    ชีพจรเร็ว มือสั่น ต่อมไทรอยด์โตในรายที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือคอพอกเป็นพิษ
    ชีพจรที่ขาหนีบคลำไม่ได้หรือคลำได้แผ่วเบาในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ
    คลำได้ก้อนในท้องส่วนบน 2 ข้าง ในผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง
    ใช้เครื่องฟังได้ยินเสียงฟู่ (bruit) ที่หน้าท้องตรงบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือซ้าย ในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงไตตีบ
    ได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ตรงลิ้นหัวใจเอออร์ติก ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว
    รูปร่างอ้วนฉุ หน้าอูม มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ อาจมีประวัติกินยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคคุชชิง เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ก่อนให้การรักษา จะทำการตรวจประเมินผู้ป่วยทุกรายโดยการค้นหาสาเหตุ ประเมินพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (อ่านเพิ่มเติมที่ "ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด" หัวข้อภาวะแทรกซ้อน ด้านบน) ค้นหาโรคที่สัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง (อ่านเพิ่มเติมที่ "ตารางโรคที่สัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง" ด่านล่าง) และร่องรอยการทำลายของอวัยวะจากโรคความดันโลหิตสูง (อ่านเพิ่มเติมที่ "ตารางร่องรอยการทำลายของอวัยวะจากโรคความดันโลหิตสูง โดยผู้ป่วยยังไม่มีอาการ" ด้านล่าง) รวมทั้งค้นหาโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเลือกใช้ยาลดความดัน โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด (หาระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ กรดยูริก ครีอะตินีน โพแทสเซียม โซเดียม เฮโมโกลบิน และฮีมาโทคริต) ซึ่งควรตรวจตั้งแต่ครั้งแรกที่วินิจฉัยและตรวจซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง หรือตรวจบ่อยขึ้นถ้าพบว่ามีความผิดปกติ

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (อ่านเพิ่มเติมที่ "ตารางปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด") (อ่านเพิ่มเติมที่ "ตารางปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด" หัวข้อภาวะแทรกซ้อน ด้านบน) และจะเริ่มให้ยาลดความดัน* โดยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูง (โดยดูจากค่าความดันเฉลี่ยที่วัดได้ที่สถานพยาบาล) ร่วมกับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีแนวทาง (ตาม "แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2562") ของสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย ดังนี้

1.1 ความดันช่วงบน 130-139 และ/หรือความดันช่วงล่าง 85-89 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรมเป็นหลัก และอาจให้ยาลดความดันในรายที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วย

1.2 ความดันช่วงบน 140-159 และ/หรือความดันช่วงล่าง 90-99 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดันในกลุ่มเสี่ยงกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด (2) ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง (3) ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่มีร่องรอยการทำลายของอวัยวะจากโรคความดันโลหิตสูง  หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปี (10-year Thai CV risk score)**

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง แพทย์จะให้ยาลดความดัน เมื่อลองปรับพฤติกรรมและติดตามนาน 3-6 เดือนแล้วความดันยังไม่ลดได้เป็นปกติตามเป้าหมาย

1.3 ความดันช่วงบน 160-179 และ/หรือความดันช่วงล่าง 100-109 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดันในกลุ่มเสี่ยง (ดังในข้อ 1.2)

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดความดันในผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลายคน ผู้ที่มีอาการ (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น) หรือผู้ที่มีความวิตกกังวลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงค่อนข้างมาก

1.4 ความดันช่วงบน ตั้งแต่ 180 และ/หรือความดันช่วงล่างตั้งแต่ 110 มม.ปรอทขึ้นไป แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดัน

1.5 สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป แพทย์จะเริ่มให้ยาลดความดันเมื่อมีความดันช่วงบนตั้งแต่ 160 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป

ถ้าหากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากเคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) แพทย์อาจพิจารณาเริ่มให้ยาลดความดันเมื่อมีความดันช่วงบนตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป

1.6 เป้าหมายของการลดความดันโลหิต ในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 65 ปี ที่เป็นความดันโลหิตสูงเพียงอย่างเดียว หรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) ความดันที่วัดที่สถานพยาบาล ควรให้ค่าความดันช่วงบนอยู่ที่ 120-130  และช่วงล่างอยู่ที่ 70-79 มม.ปรอท

ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เป็นความดันโลหิตสูงเพียงอย่างเดียว หรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) ความดันที่วัดที่สถานพยาบาล ควรให้ค่าความดันช่วงบนอยู่ที่ 130-139 และช่วงล่างอยู่ที่ 70-79 มม.ปรอท

2. การติดตามผลการรักษา ช่วงแรก ๆ จะนัดผู้ป่วยมาตรวจเดือนละ 1 ครั้ง (ถ้าความดันสูงมากนัดทุก 1-2 สัปดาห์) เมื่อคุมได้ตามเป้าหมายแล้ว นัดเป็นทุก 3-6 เดือน และจะทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการทุก 6-12 เดือน

ในการติดตามผู้ป่วย แพทย์จะเน้นให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง ซักถามอาการและตรวจดูภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้น และปรับยาที่ใช้ให้เหมาะสม

3. การดื้อต่อการรักษา (resistant hypertension) หมายถึงการที่ผู้ป่วยกินยาลดความดันร่วมกันตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป (รวมทั้งยาขับปัสสาวะ) จนเต็มขนาดของยาแล้วยังควบคุมไม่ได้ตามเป้าหมาย แพทย์ก็จะทำการค้นหาสาเหตุ ซึ่งอาจเกิดจากข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อร่วมกันดังนี้

    วัดความดันไม่ถูกต้อง
    สั่งให้ยาลดความดันในขนาดน้อยไป
    ผู้ป่วยไม่ยอมกินยาตามสั่ง
    กินอาหารที่มีโซเดียมสูง
    ใช้ยาที่ทำให้ความดันโลหิตสูง
    น้ำหนักตัวขึ้นมาก (อ้วน)
    ดื่มแอลกอฮอล์จัด
    เป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ

4. การรักษาโรคที่พบร่วม ในรายที่มีโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น แพทย์ก็จะให้ยารักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษากับแพทย์และดูแลตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ และจะป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนลงได้ แต่จำเป็นต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอด ในรายที่ปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น การรักษาจะช่วยลดความรุนแรง และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

*ยาลดความดัน ที่ใช้เป็นพื้นฐาน ได้แก่ (1) กลุ่มยาขับปัสสาวะ (Diuretic เช่น ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์)  (2) กลุ่มยาต้านแคลเซียม (calcium blocker เช่น แอมโลดิพีน) (3) กลุ่มยาต้านเอซ (ACE inhibitor เช่น อีนาลาพริล) (4) กลุ่มยาเออาร์บี (ARB เช่น โลซาร์แทน) ซึ่งยาแต่ละกลุ่มมีข้อดีและเสียแตกต่างกัน และผู้ป่วยแต่ละคนตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน

การดูแลตนเอง

เมื่อตรวจพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นวัดความดันที่บ้านหรือสถานพยาบาลใกล้บ้านประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง
    กินยาลดความดันให้ครบถ้วนตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ปรับยาเองตามใจชอบ แม้ว่าจะรู้สึกสบายดีแล้วก็ตาม (ความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการแสดงให้รู้สึก ควรดูผลว่าดีหรือไม่ด้วยการวัดความดันเท่านั้น)
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ข้ออักเสบ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ผสมยาสเตียรอยด์) อาจทำให้ความดันสูงได้
    ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสารสกัดจากสมุนไพรที่อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ เช่น ชะเอม, ชะเอมเทศ, ส้มขม, มาฮวง, โยฮิมบี เป็นต้น
    หมั่นปฏิบัติตัวในการควบคุมโรคอย่างจริงจัง (อ่านเพิ่มที่ "การปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด" หัวข้อการรักษาโดยแพทย์ ด้านบน)

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    วัดความดันแล้วพบว่าสูงต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง
    ขาดยาหรือยาหาย
    มีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ หรือหน้ามืดนานเป็นวัน ๆ หรือลุกขึ้นนั่งหรือยืนรู้สึกจะเป็นลม
    มีอาการเจ็บจุกแน่นหน้าอก พูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว หรือแขนขาชาหรืออ่อนแรง
    มีอาการเบื่ออาหารหรือกินอาหารได้น้อยนานหลายวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ (เพราะอาจเกิดภาวะความดันต่ำเกินจากยาที่กินได้)
    สังเกตพบมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น อ่อนเพลีย ท้องอืด ท้องผูก (มักเกิดจากยาขับปัสสาวะ), ไอเรื้อรัง (มักเกิดจากยาต้าเอซ เช่น อีนาลาพริล) เท้าบวม (มักเกิดจากยาต้านแคลเซียม เช่น แอมโลดิพีน) หรือกินยาแล้วมีอาการผิดสังเกตอื่น ๆ เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

การป้องกัน

สำหรับคนทั่วไป อาจป้องกันมิให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงโดยการปฏิบัติตัวดังนี้

1. ควบคุมน้ำหนักตัว โดยให้มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23 กก./ม.2 ความยาวรอบเอว < 80 ซม. ในผู้หญิง หรือ < 90 ซม. ในผู้ชาย โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ) ครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง หรือวันเว้นวัน

3. ลดปริมาณเกลือโซเดียมที่บริโภค ไม่เกินวันละ 2.4 กรัม (เทียบเท่าเกลือแกง 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา)

4. กินผักผลไม้มาก ๆ และลดอาหารพวกไขมันชนิดอิ่มตัว

5. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ชายควรจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 2 ดื่มมาตรฐาน สำหรับผู้หญิงและผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยควรจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 1 ดื่มมาตรฐาน

5
เด็กควรจัดฟันเด็กตอนอายุเท่าไหร่

การจัดฟัน ถือได้ว่า เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว การจัดฟันยังเป็นเทรนด์ยอดฮิตในหมู่วัยรุ่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดฟันถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง หรือแม้กระทั่งคนที่เคยผ่านการจัดฟันมาแล้ว แต่ไม่สวมใส่รีเทนเนอร์ ก็อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันอีกรอบ แต่ในกรณีของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น มีความสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะปลูกฝังหรือเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้มาก เพราะการขึ้นของฟันแม้นั้น ก็มีผลมาจากฟันน้ำนมด้วยเช่นเดียวกัน


ดังนั้น การดูแลฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปากและฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2ครั้ง หรือถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟัน หรือลักษณะการขึ้นของฟันแม้ที่มีความผิดปกติ ก็สามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่สามารถจัดฟันเด็กได้ แต่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถจัดได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เลยทีเดียว และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ว่าควรเข้ารับการจัดฟันตอนอายุเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจหรือเป็นแนวทางในการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สำหรับบุตรหลานของท่าน

ซึ่งปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ก็มีด้วยกันหลักหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการรับประทานของหวาน ซึ่งในวัยเด็กนั้นการรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นเรื่องที่ปกติและเด็กบางคนก็ชื่นชอบการรับประทานของหวานแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองจะต้องดูแลด้วยเช่นกัน เพราะการที่เด็กรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุในวัยเด็ก นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องของการสบฟันที่ผิดปกติ ก็ส่งผลให้เด็กมีรูปร่างของฟันที่ไม่สวยงาม สาเหตุของการสบฟัน ที่ผิดปกติ อาจจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมเพราะเด็กบางคน มีขนาดขากรรไกรเล็ก ไม่สมดุลกับจำนวนซี่ของฟัน ทำให้เกิดฟันซ้อนหรือบางคนมีขากรรไกรที่ยื่น ก็อาจจะทำให้ฟันสบคร่อม โดยสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟัน นอกจากนี้ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมหรือพฤติกรรมบางอย่างก็อาจส่งผลให้เด็กมีฟันซ้อน ฟันเกได้ เช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ฟันหน้าอยู่ ในตำแหน่งที่ผิด ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การเข้ารับการจัดฟันในวัยเด็กนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แม้ว่าการจัดฟันอาจจะไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านไปตรวจกับทันตแพทย์เป็นประจำก็สามารถแก้ไขปัญหาได้และถ้าหากพบสัญญาณของความผิดปกติก็ควรที่จะรีบแก้ไข

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี ซึ่งในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้วและมีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว เป็นวัยและช่วงอายุที่ควรจะเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งในวัยนี้ถ้าหากตรวจพบสัญญาณผิดปกติก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ซึ่งการจัดฟันในวัยนี้จะช่วยลดปัญหาฟันผุขั้นรุนแรงได้ นอกจากนี้ ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาก็อาจจะช่วยหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฟันได้

ดังนั้น การจัดฟันในเด็กถือว่าช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่างทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส และสามารถทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องของความสะอาดในช่องปากและฟันนั้นถือเป็นเรื่องสุขอนามัยที่ทุกคนควรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษด้วย หากพ่อแม่ผู้ปกครองสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยอย่างแน่นอน

6
ไซต์งานก่อสร้าง ใช้รถอะไรขนย้าย กับ รถรับจ้างใกล้ฉัน รถรับจ้างขอนแก่น

ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง รถที่ใช้ในการขนส่งวัสดุและอุปกรณ์ ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แน่นอนว่าเพื่อช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย และมีความรวดเร็ว ไซต์งานก่อสร้างจำเป็นต้องใช้ รถรับจ้าง และต้องใช้รถหลากหลายประเภทตามลักษณะของงาน และวัสดุที่ต้องการขนย้าย มาดูกันว่ามีรถประเภทใดบ้างที่นิยมใช้กัน และบริการของ รถรับจ้างขอนแก่น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างไร

ประเภทของรถขนส่งที่ใช้ในไซต์งานก่อสร้าง

    รถบรรทุกดิน (Dump Truck) : ใช้สำหรับขนย้ายดิน ทราย และวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ มีระบบกระบะยกเทเพื่อการเทวัสดุออกจากรถได้อย่างรวดเร็ว จะเห็นบ่อยๆ ตามไซต์งานก่อสร้างถนน
    รถเครน (Crane Truck) : เหมาะสำหรับยกของหนัก เช่น เหล็กเส้น คอนกรีตสำเร็จรูป และเครื่องจักร มีทั้งแบบติดตั้งบน รถบรรทุก(รถเฮี๊ยบ) และแบบเครนเคลื่อนที่
    รถเทรลเลอร์ (Trailer Truck) : ใช้ขนย้ายอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป หรือเครื่องจักรหนัก ที่ขนาดค่อนข้างยาว มีหลายประเภทให้เลือกใช้งาน เช่น เทรลเลอร์พื้นเรียบ เทรลเลอร์ก้างปลา และเทรลเลอร์โลว์เบด รถรับจ้างขอนแก่น ก็มีให้เลือกขนย้ายนะ
    รถกระบะและรถบรรทุก 6 ล้อ / 10 ล้อ : เหมาะสำหรับขนย้ายวัสดุที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ปูน กระเบื้อง อิฐ และอุปกรณ์ก่อสร้างอื่น ๆ ซึ่งมีความคล่องตัวสูง ใช้งานได้ในพื้นที่จำกัด
    รถแบคโฮ (Backhoe Loader) และรถตักล้อยาง (Wheel Loader) : ใช้สำหรับขุดดิน ตักหิน และปรับสภาพพื้นที่ก่อสร้าง บางรุ่นสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานได้อย่างครบครัน
    รถโม่ปูน (Cement Mixer Truck) : ใช้สำหรับขนส่งปูนซีเมนต์ผสมเสร็จไปยังไซต์งานก่อสร้าง ข้อดีของรถประเภทนี้คือช่วยให้ปูนซีเมนต์คงสภาพพร้อมใช้งานเมื่อถึงหน้างานก่อสร้างค่ะ
    รถบรรทุกน้ำ (Water Tanker Truck) : ใช้ฉีดน้ำเพื่อลดฝุ่นในไซต์งานก่อสร้าง สามารถใช้เติมน้ำในงานหล่อคอนกรีตหรือการก่อสร้างถนนได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มีให้เห็นใช้งานในงานก่อสร้างตามโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างบ้าน โครงการทำถนน สร้างทางรถไฟ เรียกได้ว่าใช้งานตามโครงการต่างๆ ที่มีการก่อสร้างค่ะ

รถรับจ้างขอนแก่น บริการรถรับจ้างครบวงจร

หากคุณกำลังมองหาบริการขนส่งในพื้นที่ขอนแก่น เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยบริการรถรับจ้างหลากหลายประเภทที่สามารถรองรับงานขนส่งได้ทุกประเภท รถรับจ้างขอนแก่น ไม่ว่าคุณจะต้องการขนย้ายวัสดุหรือเครื่องจักรหนัก ย้ายแคมท์คนงาน อุปกรณ์เครื่องมือช่าง เรามีทีมงานที่พร้อมให้บริการด้วยความเชี่ยวชาญค่ะ

ประเภทของรถที่ให้บริการ

    รถบรรทุก 6 ล้อ และ 10 ล้อ รองรับงานขนย้ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง เช่น ปูน ทราย หิน และเหล็กเส้น ของที่มีน้ำหนักเยอะๆ และจำนวนมาก น้ำหนักตั้งแต่ 3-14 ตัน สามารถขนย้ายได้ค่ะ
    รถเทรลเลอร์และเฮี๊ยบ สำหรับขนย้ายเครื่องจักรหนัก โครงสร้างคอนกรีต และวัสดุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนัก
    รถกระบะรับจ้าง สำหรับขนย้ายวัสดุขนาดเล็กหรืออุปกรณ์ที่ต้องการความคล่องตัวสูง

ทำไมต้องเลือกขนส่ง?

✔ บริการรวดเร็ว ตรงเวลา : รองรับงานขนส่งเร่งด่วนในเขตขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียง เรามีทีมงานที่พร้อมออกเดินทางตลอด 24 ชั่วโมง

✔ มีรถให้เลือกหลายประเภท : ไม่ว่าคุณต้องการขนย้ายวัสดุขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เรามีรถที่เหมาะสมกับทุกความต้องการ

✔ ทีมงานมืออาชีพ : เรามีประสบการณ์ในงานก่อสร้างและขนส่งโดยเฉพาะ สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขนส่งวัสดุได้เป็นอย่างดี

✔ ราคายุติธรรม : คิดราคาตามระยะทาง ประเภทของงาน และประเภทของรถที่ใช้ เพื่อให้คุณได้รับบริการที่คุ้มค่าที่สุด

✔ ความปลอดภัยสูงสุด : เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสินค้าและวัสดุทุกชิ้น พร้อมประกันความเสียหายตลอดการขนส่ง

✔ บริการตลอด 24 ชั่วโมง : ไม่ว่าจะขนส่งวัสดุเวลาไหน เราพร้อมให้บริการทุกวัน ไม่มีวันหยุด

หากคุณต้องการรถขนส่ง ขนย้ายของ หรือวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นงานขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ รถรับจ้างขอนแก่น พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สนใจติดต่อเพื่อขอใบเสนอราคาและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย!

7
รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างสุรินทร์ รถดีบริการดี ราคาถูก

รถรับจ้างสุรินทร์ กับมาตรฐานการบริการรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายห้อง ย้ายครัว ย้ายหอ ย้ายคอนโด จากรถขนของที่มากมายหาลายขนาด เช่น รถกระบะรับจ้างสุรินทร์ รถสี่ล้อรับจ้างสุรินทร์ รถปิ๊คอัพรับจ้างสุรินทร์ รถรับจ้าง4ล้อสุรินทร์ รถ6ล้อรับจ้างสุรินทร์ รถหกล้อรับจ้างสุรินทร์ รถรับจ้างย้ายบ้านสุรินทร์ รถรับจ้าง6ล้อสุรินทร์ รถเฮี๊ยบรับจ้างสุรินทร์ รถสิบล้อรับจ้างสุรินทร์ รถเทรลเลอร์รับจ้างสุรินทร์ รถรับจ้างทั่วไปสุรินทร์ และ รถรับจ้างขนของจังหวัดสุรินทร์ ทุกคันในแต่ละสาขาอาชีพก็จะมีคนที่เก่ง ๆ ในสายอาชีพนั้น ๆ ในสายการบริการก็เช่นกัน รถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ ของขนส่ง ถือได้ว่ามีการบริการที่ได้มาตรฐานด้านรถรับจ้างเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เพราะเราผ่านการทำงานด้านรถรับจ้างมานับไม่ถ้วน มากด้วยประสบการณ์ด้วยงานที่มากมายและคนขับรถที่เก่งในทุกเส้นทาง โดยมีการให้บริการในแต่ละวันจำนวนหลายรอบ จึงทำให้เรารู้ทุกเรื่องของการขนย้าย การขนของ การส่งสินค้า เรียกได้ว่ารถรับจ้างขนย้ายของสุรินทร์ เป็นหนึ่งด้านการรอบรู้เรื่องรถรับจ้างทุกชนิดเลยก็ว่าได้ และยังให้บริการรับจ้างขนของในหลายๆพื้นที่ต่างๆ

รถรับจ้างขนของสุรินทร์ ให้บริการไม่มีข้อแม้ มีการขนย้ายที่ไหน รถรับจ้างของเราไปถึงที่นั่น โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าระยะทางจะลำบาก ขรุขระหรือไกลเพียงใด รถขนของรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ไม่เคยมีเรื่องไม่รับงาน เพราะนี่เป็นงานด้านบริการครบวงจรของเรานอกเสียจากรถของเราให้บริการเต็มทุกคันนั่นเอง รถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์จึงรู้ทุกปัญหาหน้างานและแก้ไขอย่างมีฝีมือ จึงทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจแก่ผู้ใช้บริการเป็นอยากมาก โดยการกลับมาใช้บริการอีกหลายครั้ง และบางเจ้าก็รับให้รถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์เป็นเจ้าประจำเคียงคู่กับธุรกิจกันแบบยาวๆไปเลยทีเดียวสามารถขอราคา ตรวจเช็คฟรีๆ ที่นี่

เบาแรงกับ พนักงานยกสินค้าจำนวนมาก ของรถรับจ้างขนของจังหวัดสุรินทร์ เป็นไปได้ว่าในชีวิตของคนเราอาจไปเกี่ยวข้องกับการ ย้ายบ้าน มาแล้ว ซึ่งถ้าจะถามความรู้สึกตอนย้ายบ้านเองเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาคงจะตอบว่า โอย...เหนื่อย ไม่อยากย้ายบ้านอีกเลย เพราะอย่างนี้นี่เอง รถรับจ้างขนย้ายของจังหวัดสุรินทร์ จึงขอเสนอตัวในการให้บริการด้านการขนย้ายทุกชนิด โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยกายและใจอีกต่อไป  เพียงมองดู ตรวจสินค้าตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการขนย้ายของการยกของขึ้นรถเท่านั้น เพราะทีมงานของเราจะทำการขนย้ายสิ่งของแทนท่าน ยิ่งถ้าเป็นคุณผู้หญิงด้วยแล้วการขนของเองเสี่ยงต่อสุขภาพเคล็ดขัดยอกได้ บาดเจ็บได้

ดังนั้น เพียงเรียกใช้บริการรถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ อย่าง รถสี่ล้อรับจ้างสุรินทร์ รถกระบะรับจ้างสุรินทร์ รถปิ๊คอัพรับจ้างสุรินทร์ รถ6ล้อรับจ้างสุรินทร์ รถรับจ้างย้ายบ้านสุรินทร์ รถรับจ้าง6ล้อสุรินทร์ รถรับจ้างทั่วไปสุรินทร์ รถหกล้อรับจ้างสุรินทร์ รถเฮี๊ยบรับจ้างสุรินทร์ รถรับจ้าง4ล้อสุรินทร์ รถสิบล้อรับจ้างสุรินทร์ รถเทรลเลอร์รับจ้างสุรินทร์ และ รถรับจ้างขนของจังหวัดสุรินทร์ ทุกสิ่งจะสำเร็จอย่างง่ายดาย โดยที่คุณไม่ต้องออกแรง หรือถ้าหากคุณจะช่วยก็เพียงแต่แพ็คของเป็นกล่อง ๆ จัดเรียงลำดับการขึ้นหรือระบุหมายเลขกล่องสินค้าไว้เท่านั้นเอง หน้าที่ยกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมงานเด็กยกสินค้าของเราต่อไปได้เลยหัวใจของการบริการรถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ รถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ให้บริการมานานเป็นเวลากว่า 15 ปี

โดยเรามีรถรับจ้างมากมายหลายชนิด เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกท่านในแต่ละวัน นอกจากนี้เรายังทำงานอย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ซึ่งการทำงานเช่นนี้งานจะมีประสิทธิภาพและเสร็จได้เร็วขึ้น คุณจึงมั่นใจได้ว่า รถรับจ้างจังหวัดสุรินทร์ เป็นของ ทีมงานขนส่ง ที่มีความชำนาญงานเป็นพิเศษ ไม่ทำให้ข้าวของสินค้าคุณแตกหัก ชำรุด อย่างแน่นอน เพราะหัวใจของการบริการ รถรับจ้างสุรินทร์ คือ การบริการที่รวดเร็ว การเอาใจใส่ ความมีประสิทธิภาพและเป็นที่พอใจแก่ผู้ใช้บริการ

8
หมอออนไลน์: ปากนกกระจอก/มุมปากอักเสบ (Angular stomatitis/Angular Cheilitis)

ปากนกกระจอก/มุมปากอักเสบ หมายถึง อาการแผลเปื่อยที่มุมปาก ซึ่งอาจมีสาเหตุจากภาวะขาดวิตามินบี 2 โรคเชื้อรา ภาวะขาดโปรตีน ขาดธาตุเหล็ก การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ เป็นต้น

สาเหตุ

ภาวะขาดวิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (riboflavin) ส่วนใหญ่จะพบในเด็กที่เป็นโรคขาดอาหาร หรือกินอาหารที่มีวิตามินบี 2 ในปริมาณน้อย

นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ป่วยโรคพิษสุรา โรคตับหรือท้องเดินเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร หรือมีความผิดปกติของการดูดซึมของลำไส้ (เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า “โรคโครห์น”)

ผู้ที่ขาดวิตามินบี 2 มักมีการขาดวิตามินบีชนิดอื่น ๆ รวมทั้งสารอาหารอื่น (เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี) ร่วมด้วย

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นแผลเปื่อย ลักษณะเป็นสีเหลือง ๆ ขาว ๆ ที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง อาจพบอาการอักเสบของเยื่อบุริมฝีปาก (ริมฝีปากมีลักษณะแดง แห้งหยาบบาง และแตกเป็นร่อง ๆ) และลิ้น (มีลักษณะเป็นสีม่วงแดง)

นอกจากนี้ อาจมีภาวะซีด กระจกตาอักเสบ (ตาแดง กลัวแสง น้ำตาไหล) ผิวหนังอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อน

แผลเปื่อยที่มุมปากอาจติดเชื้อราแคนดิดาอัลบิแคนส์แทรกซ้อน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบแผลเปื่อยที่มุมปาก 2 ข้าง

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตรวจระดับไรโบฟลาวินในปัสสาวะ หรือตรวจหาโรค/ภาวะผิดปกติอื่น ๆ โดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาเชื้อรา การตรวจช่องปากและฟัน การตรวจเลือดดูภาวะขาดธาตุเหล็ก เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้กินวิตามินบี 2 หรือวิตามินบีรวมวันละ 1-3 เม็ด

ในรายที่มีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก จะให้ยาบำรุงโลหิตร่วมด้วย ถ้าพบโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย ก็จะทำการรักษาควบคู่ไปด้วย

ถ้าไม่ได้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุอื่น ซึ่งพบว่าในวัยกลางคนขึ้นไปอาจเกิดจากโรคเชื้อรา ก็จะให้ยารักษาโรคเชื้อรา (ดูเพิ่มเติมใน "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา")

 ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์

การดูแลตนเอง

หากมีแผลเปื่อยที่มุมปาก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อพบว่าเป็นปากนกกระจอก ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารให้ครบทุกหมู่ รวมทั้งอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว นม ไข่แดง ตับ ผักใบเขียว เป็นต้น

ข้อแนะนำ

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า อาการมุมปากเปื่อย (ปากนกกระจอก) เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 จริง ๆ แล้วปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลงมาก ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเชื้อรา (มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา) และสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะขาดธาตุเหล็ก ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสหรือภูมิแพ้ (เช่น จากน้ำลายสอที่มุมปาก ลิปสติก ยาสีฟัน หมากฝรั่ง เป็นต้น) ผลข้างเคียงของยา (เช่น ยาต้านไวรัสรักษาเอดส์ ยารักษาสิว-Isotretinoin) เป็นต้น หากลองรักษาด้วยวิตามินบี 2 ไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น

9
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับ ทำความสะอาดบ้านเสร็จไว ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

พอพูดถึงเรื่องทำความสะอาดบ้านแล้ว ก็รู้สึกเพลียขึ้นมาทันที หรือบางคนก็อาจจะยุ่งอยู่กับการทำงานจนไม่มีเวลาเก็บกวาดบ้านเลย ครั้นจะหาเวลามาทำความสะอาดบ้านทั้งหลังก็แทบจะไม่มี เพราะต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควรเลย ...จากนี้ไปไม่ต้องเสียเวลาไปกับการทำความสะอาดบ้านครั้งละนาน ๆ แล้ว เพราะเรามีเคล็ดลับ!! ทำความสะอาดบ้านเสร็จไว ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง มาฝาก

 วางแผนการทำความสะอาดบ้าน

หากคุณวางแผนก่อนเริ่มทำความสะอาด จะทำให้คุณประหยัดเวลาและลดขั้นตอนการทำความสะอาดขึ้นได้ งานจะดูน้อยลงและรู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง ไม่เสียเวลาระหว่างการทำความสะอาด โดยเริ่มจาก

          1. กำหนดเวลา คุณมีเวลาในการทำความสะอาดบ้านครั้งนี้เท่าไหร่ เช่น 45 นาที

          2. เรียงลำดับห้องไหนทำความสะอาดก่อน-หลัง ไอเดียในการเรียงลำดับ เช่น ทำความสะอาดจากห้องที่ใช้งานบ่อยที่สุด, ห้องที่ต้องใช้ด่วนที่สุด, จากห้องชั้นบนลงมาชั้นล่าง, จากห้องทางซ้ายไล่ไปห้องทางขวา หรือจากห้องที่สกปรกที่สุด เป็นต้น

          3. กำหนดว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำความสะอาดแต่ละห้อง อาจใช้เวลามาก-น้อยต่างกันในแต่ละห้อง โดยดูจากความสกปรก ความเรียบร้อย รวมไปถึงขนาดของห้อง เช่น คุณมีเวลาทั้งหมด 45 นาที แบ่งเป็น ห้องนอน 8 นาที, ห้องน้ำ 14 นาที, ห้องนั่งเล่น 9 นาที และห้องครัว 14 นาที

          4. วางแผนว่าแต่ละห้องที่ทำความสะอาด ต้องทำอะไรบ้าง อาจทำเช็คลิสต์รายการทำความสะอาดไว้ เพื่อความเป็นระบบ กระชับเวลาได้มากขึ้น เช่น เก็บหรือจัดระเบียบของที่รก, เช็ดหน้าต่าง, กวาดพื้น, ดูดฝุ่น, ถูบ้าน, ล้างอ่าง, ล้างโถสุขภัณฑ์ เป็นต้น

 เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านให้พร้อม

          แนะนำให้รวบรวมอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้เอาไว้ที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้งาน ไม่ต้องเสียเวลาหาระหว่างการทำความสะอาด ทำลิสต์ออกมาเลยว่า ห้องไหนต้องใช้อะไรบ้าง ถึงคิวทำความสะอาดห้องไหน จะได้หอบอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้ใส่ตะกร้าไปทีเดียวเลย ตัวอย่างอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้มีตามนี้เลย

          - ไม้กวาด

          - ไม้ขนไก่

          - ผ้า

          - เครื่องดูดฝุ่น

          - ไม้ถูพื้นและถังน้ำ

          - น้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ หรือสเปรย์ทำความสะอาดต่าง ๆ

          - แปรงขัด

          - ถุงขยะ

          - ตะกร้า เอาไว้เก็บของที่วางเกะกะ รอการจัดเก็บเข้าที่

          - นาฬิกาจับเวลา หรือสมาร์ทโฟนก็ได้ เอาไว้จับเวลาทำความสะอาดให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลาที่วางแผนไว้

เก็บห้องรกหรือจัดระเบียบสิ่งของที่อยู่ไม่เป็นที่

          ก่อนที่จะทำความสะอาดในแต่ละห้อง ควรเริ่มต้นด้วยการเก็บของที่รก หรือของที่วางไม่เป็นที่ให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะทำให้ห้องเป็นระเบียบและง่ายกับการทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น โดยการเอาตะกร้าหรือกล่องใส่ของติดตัวไปด้วย เพื่อเอาสิ่งของที่วางไม่เป็นที่ หรือของที่ต้องการทิ้งแยกใส่ลงไปในแต่ละตะกร้า เพื่อรอการจัดระเบียบต่อไป ที่สำคัญ คุณต้องใช้ความรวดเร็วในการแยกของ อย่าลังเลใจนาน เพราะจะทำให้เกินเวลาที่วางแผนไว้ได้ ถ้าชิ้นไหนไม่แน่ใจจริง ๆ ให้แยกใส่ตะกร้าก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจภายหลัง จริง ๆ แล้วแนะนำให้พยายามเก็บของให้เข้าที่ทุกครั้งที่ใช้งาน เมื่อของที่รกเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จะได้ไม่เหนื่อย และไม่เสียเวลามาเก็บ

 ทำความสะอาดห้องนอน 8 นาที

          สิ่งที่คุณต้องทำจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. เก็บของรกและ 2. ทำความสะอาดห้อง ในครั้งนี้ อาจแบ่งเวลาครึ่งนึงไปกับการเก็บของรก 4 นาที และอีกครึ่งไปกับการทำความสะอาด 4 นาทีก็ได้ แล้วครั้งหน้าให้พยายามเก็บของเข้าที่ ไม่ทำให้ห้องรก แล้วมาเก็บทีเดียวอีกค่ะ เพราะจะทำให้เสียเวลามากกว่า ...เมื่อเก็บของที่รกเรียบร้อยแล้ว จะเหลือการทำความสะอาดห้องอีกแค่ 2-3 อย่าง ตามนี้

          - รวบผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนใส่ตะกร้าเพื่อนำไปซัก แนะนำให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอน และนำเซตเก่าไปซักทุกสัปดาห์ และควรเก็บที่นอนให้เรียบร้อยทุกวัน หลังตื่นนอน

          - หาผ้ายาง หรือผ้าอะไรก็ได้มาคลุมเตียงก่อนทำความสะอาด เพราะเวลากวาดห้อง ฝุ่นอาจฟุ้งกระจายมาบนเตียงนอนได้

          - จากนั้นควรไล่ทำความสะอาดจากส่วนบนของห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นจะได้ตกลงมาข้างล่าง แล้วค่อยกวาดถูพื้นทีเดียว จะทำให้ประหยัดเวลาขึ้น

 ทำความสะอาดห้องน้ำ 14 นาที

          ห้องน้ำเป็นห้องที่ถือว่าสกปรกมากที่สุดห้องนึงเลย ทั้งคราบสบู่ แชมพู คราบเหงื่อไคล เป็นต้น จึงต้องให้เวลากับห้องนี้มากหน่อย แนะนำให้ทำความสะอาดห้องน้ำทุกสัปดาห์ค่ะ ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ใช้เวลาทำความสะอาดมากขึ้น เนื่องจากคราบสกปรกที่เพิ่มขึ้น และติดฝังคราบมากขึ้น โดยขั้นตอนการทำความสะห้องน้ำจะเป็นประมาณนี้

          - จัดระเบียบของที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางก่อน และเคลียร์สิ่งของที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ซึ่งควรเคลียร์ทุก ๆ เดือน ของจะได้ไม่รก

          - ฉีดน้ำล้างในทุก ๆ ส่วนของห้องน้ำ

          - เมื่อฉีดน้ำแล้ว จะมีเส้นผมหรือสิ่งสกปรกมากองรวมกันทั้งตะแกรงท่อที่อ่างล้างหน้า และตะแกรงท่อน้ำที่พื้นให้เก็บทิ้งไปก่อน

          - จากนั้นให้เช็ดฝุ่นตามเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของต่าง ๆ ในห้องน้ำ ด้วยสเปรย์อเนกประสงค์และผ้า เช่น ตามกระจก เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า

          - ล้างทำความสะอาดทั้งพื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า และโถสุขภัณฑ์ที่มีคราบฝังลึก คุณอาจเทน้ำยาทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วกลับมาทำความสะอาดอีกทีด้วยแปรงขัด หรือฟองน้ำก็ได้

          - อย่าลืมเก็บถุงขยะในห้องน้ำไปทิ้ง และล้างถังขยะให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นการสะสมเชื้อโรค

 ทำความสะอาดห้องนั่งเล่น 9 นาที

          คล้ายกับการทำความสะอาดห้องนอนเลย จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. จัดระเบียบของที่รกและ 2. ทำความสะอาดห้อง โดยหลังจากที่จัดของรกแล้ว ก็จะเหลือขั้นตอนทำความสะอาด ดังนี้

          - ปัดฝุ่นจากข้างบนเพดาน ไล่ลงมาข้างล่าง เช่น เช็ดหลอดไฟเพดาน ทำความสะอาดผ้าม่าน ปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ ดูดฝุ่นโซฟา

          - เมื่อทำความสะอาดจากด้านบนแล้ว ฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะตกลงมาที่พื้น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง กวาด ดูด และถูพื้นให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย

          - ขั้นตอนสุดท้าย จัดเก็บสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้าที่ให้เรียบร้อย เช่น หมอนอิงที่โซฟา แจกันที่โต๊ะหรือตู้ กรอบรูปที่กำแพง หรือพรมเช็ดเท้า เป็นต้น

 ทำความสะอาดห้องครัว 14 นาที

          ห้องครัวก็เป็นอีกห้องที่สกปรกไม่แพ้ห้องน้ำเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำมัน มีเศษอาหาร มีขยะเปียก เราจึงให้เวลากับห้องนี้เยอะหน่อย หลัก ๆ แล้วห้องครัวมีขั้นตอนการทำความสะอาดตามนี้

          - ในกรณีที่บ้านไหนมีจานชามหรืออุปกรณ์เครื่องครัวกองอยู่ในอ่างล้างจาน ให้เคลียร์ของพวกนี้ก่อน ทางที่ดีให้ล้างทุกครั้งหลังใช้งาน

          - จากนั้นให้ทำความสะอาดพวกเตาไมโครเวฟ เตาอบ และเตาแก๊ส เพราะสิ่งนี้อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ครัวของคุณมีกลิ่น เนื่องจากมีเศษอาหารจากการใช้งานติดค้างอยู่ในเตา วิธีทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ ให้ผสมน้ำมะนาวกับน้ำเปล่าในภาชนะ และใส่เข้าไปอบในเตาไมโครเวฟ 2-3 นาที จะทำให้คราบสกปรกหลุดออกง่ายขึ้น

          - ทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว

          - เคลียร์ของที่หมดอายุ ของเน่าเสีย ของที่ไม่จำเป็นแล้ว ในตู้เย็นทิ้งไป ซึ่งควรเคลียร์ทุกเดือน

          - ทำความสะอาดคราบสกปรกที่กำแพงและพื้นห้องครัว

          - เก็บถุงขยะไปทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของกลิ่นไม่พึงประสงค์และเชื้อโรค

10
ข้อมูลโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)* หมายถึง การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ สมอง และปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1

*ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 Central sleep apnea เกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกที่ใช้ในการหายใจ ทำให้หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกสมอง เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 Obstructive sleep apnea เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งพบได้มากกว่ากลุ่มที่ 1 มาก ในที่นี้เมื่อกล่าวถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับก็มักจะหมายถึงกลุ่มที่ 2 นี้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้

    อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อนยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลง ลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40-70 ปี
    เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
    ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
    ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
    การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
    การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
    กรรมพันธุ์ อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
    โรคประจำตัว เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ติ่งเนื้อเมือกจมูก ผนังกั้นจมูกคด พาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เป็นต้น
    ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่)

เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

1. การหยุดหายใจ (apnea) ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกและปาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที

2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง

ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจเฮือกอย่างดังและแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอน และเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี


อาการ

ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดัง สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อม หรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย 10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที

ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่าย นอนอ้าปากหายใจให้ได้อากาศ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ และเวลาตื่นขึ้นมารู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอ 

หลังตื่นนอนตอนเช้ามักมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ

ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ

ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่าย เสียสมาธิ หลงลืมง่าย

ในเด็ก อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนง่าย อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย เสียสมาธิ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถหรือการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ในเด็กอาจทำให้เรียนหนังสือได้ไม่ดี หรือมีปัญหาด้านความประพฤติได้

นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น

    ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมาในร่างกายมากกว่าปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance)
    โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ) โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว)
    ผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    ตับมีความผิดปกติ เช่น มีเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูง และภาวะไขมันสะสมในตับ
    ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)
    ความผิดปกติทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคซึมเศร้า เป็นต้น 
    อาการนอนกรนเสียงดังยังส่งผลต่อปัญหาสังคม คือ อาจเป็นเหตุของการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา
    ในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการของร่างกายและสมองแย่ลง ฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) มีปริมาณลดลง ทำให้มีความสูงน้อยกว่าเด็กปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปัสสาวะรดที่นอน นั่งสัปหงกในห้องเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนไม่ดี


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายขณะตื่นนอนตอนกลางวัน มักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ยกเว้นบางคนอาจตรวจพบว่ามีรูปร่างอ้วน ความดันโลหิตสูง

การตรวจร่างกายขณะนอนหลับ จะพบอาการกรนเสียงดัง และมีภาวะหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า "Polysomnography (PSG)" โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ ปอด สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด

นอกจากนี้ ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือมีอาการที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะเริ่มต้นให้การดูแลรักษา ด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

    การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ 10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีส่วนช่วยให้อาการทุเลาได้ แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเกิน
    หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น 
    พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
    งดสูบบุหรี่

2. ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง ก็จะให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี ดังนี้

    การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
    การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure/CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
    การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็รักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์

3. หากพบมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น แพทย์ก็จะทำการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้อาการหายเป็นปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม และ/หรือใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) ส่วนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากมีอาการนอนกรน ร่วมกับมีความรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม มีอาการปวดศีรษะหรืออ่อนเพลียหลังตื่นนอน หรือมีอาการง่วงนอนหรือนั่งสัปหงกง่ายในเวลากลางวัน ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปรับพฤติกรรมที่มีส่วนช่วยในการรักษาโรคอย่างจริงจัง ได้แก่ ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน งดสูบบุหรี่ พยายามนอนในท่าตะแคง
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

การป้องกัน

สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวและพฤติกรรม อาจป้องกันหรือทำให้โรคทุเลาได้ด้วยการปฏิบัติตัว ที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การไม่บริโภคสุราและยาสูบ และการควบคุมโรค (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หวัดภูมิแพ้ หืด ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น)

ข้อแนะนำ

1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวัน อารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. การรักษาโรคนี้ด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ จะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักกลับมากำเริบได้อีก

3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน

11
ห้องรับแขกสไตล์โมเดิร์น ควรเลือกของตกแต่งบ้านแบบไหน

การตกแต่งห้องรับแขกสไตล์โมเดิร์นนั้นจะเน้นความเรียบง่าย สะอาดตา และทันสมัยค่ะ โดยให้ความสำคัญกับรูปทรงเรขาคณิต เส้นสายที่คมชัด และการใช้งานที่ลงตัว การเลือกของตกแต่งที่เหมาะสมจะช่วยเสริมให้ห้องดูสมบูรณ์แบบและน่าอยู่ยิ่งขึ้น


1. เลือกใช้โทนสีแบบเรียบง่าย

สไตล์โมเดิร์นมักจะใช้โทนสีที่เรียบง่ายแต่ดูดี เช่น สีขาว, เทา, ดำ, หรือเบจ การใช้สีเหล่านี้เป็นสีหลักจะทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น หากต้องการเพิ่มความน่าสนใจ ลองใช้สีสดใสบางจุดเพื่อสร้างจุดเด่น เช่น หมอนอิง หรือภาพวาด


2. เฟอร์นิเจอร์รูปทรงเรขาคณิต

โซฟา: เลือกโซฟาที่มีรูปทรงเป็นเหลี่ยมหรือโค้งมนที่ดูเรียบง่าย ไม่มีลวดลายซับซ้อน

โต๊ะกลาง: ควรเลือกโต๊ะกลางที่มีดีไซน์เรียบง่าย ทำจากวัสดุอย่าง กระจก, โลหะ, หรือหินอ่อน จะช่วยให้ห้องดูทันสมัย

ชั้นวางของ: ใช้ชั้นวางของแบบติดผนังหรือแบบลอยตัว จะช่วยให้ห้องดูโล่งและสบายตามากขึ้น


3. ของตกแต่งที่ช่วยเติมเต็ม

งานศิลปะ: เลือกภาพวาดหรือโปสเตอร์ที่มีลายเส้นชัดเจนและรูปทรงนามธรรม หรือจะเลือกภาพที่มีโทนสีเข้ากับห้องก็สวยงาม

โคมไฟ: โคมไฟเป็นของตกแต่งที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ควรเลือกโคมไฟที่มีดีไซน์เรียบๆ เช่น โคมไฟตั้งพื้นแบบโลหะ หรือโคมไฟเพดานที่มีรูปทรงเรขาคณิต

พรม: เลือกพรมที่มีสีพื้นหรือมีลวดลายแบบกราฟิก จะช่วยสร้างความอบอุ่นและกำหนดขอบเขตของพื้นที่ได้อย่างลงตัว

กระจก: การใช้กระจกขนาดใหญ่จะช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้นและสะท้อนแสงสว่าง ทำให้ห้องดูโปร่งสบาย


4. เพิ่มความสดชื่นด้วยต้นไม้

ต้นไม้เป็นของตกแต่งที่ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับห้องสไตล์โมเดิร์นได้เป็นอย่างดี ควรเลือกต้นไม้ที่มีรูปทรงเรียบง่าย เช่น ยางอินเดีย, มอนสเตอร่า, หรือลิ้นมังกร และนำมาใส่ในกระถางทรงเรขาคณิตสีขาวหรือดำ

12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
เรา
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



13
การจัดฟันเด็ก ต้องเข้ารับการถอนฟันหรือไม่

เด็กๆหลายคน มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน บางคนมีฟันที่มีความผิดปกติ เช่น ฟันซ้อนเก ซึ่งถ้าหากบุตรหลานของท่านมีฟันซ้อนเก ในระดับปานกลาง หรือมาก ทันตแพทย์อาจจะพิจารณาให้เด็กเข้ารับการถอนฟันเสียก่อน เพื่อให้ฟันได้เรียงตัวอย่างสวยงามและไม่มีปัญหาในเรื่องของการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องของบดเคี้ยวอาหาร รวมไปถึงการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ก็จะทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการถอนฟันนั้น ก็มีข้อดีสำหรับผู้ที่มีปัญหา เพราะจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเรียงฟันให้เรียบและสวยงาม


นอกจากนี้ เมื่อฟันเราเรียงเรียบสวยงามแล้ว ยังทำให้เราทำความสะอาดฟันง่ายขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การถอนฟันยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่ยื่นล้ำหน้าให้เข้ามาด้านใน ทำให้ฟันที่ยื่นดูยุบลง ส่งผลให้รูปใบหน้าเปลี่ยนแปลง สวยขึ้นด้วย และสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่อยากจะมีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติตั้งแต่เด็กๆ ก็ต้องปรึกษาทันตแพทย์เสียก่อน โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรให้ความสำคัญในข้อนี้ด้วย เพราะถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาฟันตามที่กล่าวมา ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อหาทางแก้ไข ซึ่งเด็กๆหลายคนอาจจะมีความกังวลว่า ถ้าหากเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว จะต้องเข้ารับการถอนฟันหรือไม่ ซึ่งหลายคนอาจจะกลัวการถอนฟัน เพราะอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด ได้ ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ว่าต้องเข้ารับการถอนฟันหรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ปกครองได้พูดทำความเข้าใจกับเด็กถึงในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กหลายคนอาจจะมีความกังวลในเรื่องของการถอนฟัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ปัญหาฟันของแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อที่จะได้วางแผนในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับในเรื่องของการเข้ารับการถอนฟันก่อนเข้ารับการจัดฟันนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจประเมินช่องปากและฟันในเบื้องต้น ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของฟันซ้อนเก ก็อาจจะพิจารณาให้เข้ารับการถอนฟัน ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือบางคนอาจจะยิ้มแล้วฟันดูเต็มช่องปาก ซึ่งการเข้ารับการถอนฟันก็จะช่วยให้ยิ้มได้สวยขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาฟันฝัง เช่น ฟันเขี้ยว ซึ่งฟันฝังบางกรณีก็ยากที่จะดึงลงมาสู่ช่องปากได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีฟันฝังลึกๆ ฟันฝังที่รากโค้งงอ หรือฟันฝังที่รากยึดติดกับกระดูก


กรณีนี้ทันตแพทย์ก็อาจพิจารณาให้ถอนฟันออก แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการถอนฟัน ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการถอนฟันทุกคน เพราะเด็กบางคนอาจจะมีปัญหาฟันซ้อนเกเพียงเล็กน้อย ซึ่งทันตแพทย์สามารถแก้ไข ดึงฟันให้กลับมาเรียงตัวอย่างสวยงามได้ โดยไม่ต้องเข้ารับการถอนฟัน หรือถ้าหากเด็กบางคนมีใบหน้าค่อนข้างยุบ การเข้ารับการจัดฟันโดยไม่เข้ารับการถอนฟันก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดก็ได้ ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา หรืออาจจะศึกษาข้อมูลรายละเอียด รวมไปถึงขั้นตอนการเตรียมก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีความพร้อมและให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาได้อย่างเต็มที่และไม่มีความกังวล

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกของเรา ก็มีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเข้ารับการรักษา  ทางเราอยากให้เด็กทุกคนมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีในอนาคต

14
หมอออนไลน์: ไขสันหลังอักเสบ (Transverse Myelitis)

Transverse Myelitis (ไขสันหลังอักเสบ) เป็นการอักเสบบริเวณไขสันหลังที่มักจะส่งผลต่อเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มใยประสาทที่เรียกว่ามัยอีลิน (Myelin) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต มีปัญหาด้านประสาทสัมผัส กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ ซึ่งสาเหตุอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ โรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคปลอกประสาท หรือปัญหาสุขภาพบางประการ

โดยทั่วไป ผู้ป่วย Transverse Myelitis อาจใช้เวลารักษาตัวนานหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งแม้จะเข้ารับการรักษาแล้ว บางรายอาจมีอาการหลงเหลืออยู่บางส่วน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจพิการหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ และหากผู้ป่วย Transverse Myelitis มีสาเหตุจากโรคประจำตัวก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้

อาการของ Transverse Myelitis

สัญญาณอาการของ Transverse Myelitis อาจปรากฏขึ้นแบบเฉียบพลันภายใน 2–3 ชั่วโมงจนถึง 2–3 วัน หรือแบบกึ่งเฉียบพลันที่จะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และกินเวลานานหลายสัปดาห์ โรคนี้มักส่งผลต่อร่างกายทั้งสองข้าง แต่บางครั้งอาจเกิดอาการเพียงข้างใดข้างหนึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ไขสันหลังนั้นอักเสบหรือถูกทำลาย

โดยอาการหลักของ Transverse Myelitis จะมีดังต่อไปนี้

    ปวดตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิ หลังส่วนล่าง ปวดแปลบร้าวลงมาที่แขน ขา หรือรอบลำตัว
    ปัญหาด้านประสาทสัมผัสตามขา เท้า นิ้วเท้า หรือแขน เช่น อาการชา ความรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม เย็น แสบร้อน ไวต่อการสัมผัส ไวต่อความร้อนหรือความเย็นจัด เป็นต้น
    แขนหรือขาอ่อนแรง เดินสะดุดเท้า เดินลากเท้าข้างใดข้างหนึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เป็นอัมพาตบริเวณขาบางส่วนหรือขาทั้งสองข้าง
    กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ เช่น ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะลำบาก หรือท้องผูก

นอกจากนั้นยังมีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง รู้สึกไม่สบายตัว ปวดศีรษะ มีไข้ เบื่ออาหาร ปัญหาในระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึมเศร้า และวิตกกังวลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ในกรณีผู้ป่วยพบสัญญาณอาการเข้าข่าย Transverse Myelitis ควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาการเหล่านี้ยังอาจเป็นผลมาจากโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ที่ควรต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน และการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไขสันหลังจากการผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่หรือลิ่มเลือดที่ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุของ Transverse Myelitis

สารมัยอีลินเป็นเนื้อเยื่อไขมันชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายฉนวนไฟฟ้า ทำหน้าที่ช่วยปกป้องใยประสาทและเซลล์ประสาท หากสารมัยอีลินบริเวณไขสันหลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอาจส่งผลต่อเซลล์ประสาทจนเกิดการอักเสบได้ ทั้งนี้ทางการแพทย์ยังไม่ทราบต้นตอของการเกิดไขสันหลังอักเสบอย่างแน่ชัด แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้

โรคติดเชื้อ

การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อปรสิตบริเวณไขสันหลังอาจก่อให้เกิดการอักเสบในบริเวณดังกล่าวได้ โดยตัวอย่างเชื้อโรคแต่ละประเภทก็เช่น

    การติดเชื้อไวรัส : โรคเริม ไวรัสซีเอ็มวี (CMV) ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) ไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน
    การติดเชื้อแบคทีเรีย : โรคไลม์ โรคซิฟิลิส วัณโรค กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ ไอกรน บาดทะยัก และคอตีบ
    การติดเชื้อรา : เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) เชื้อราบลาสโตไมซิส (Blastomyces) หรือโรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis)
    การติดเชื้อปรสิต : โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) หรือโรคขี้แมว และโรคพยาธิตืดหมู

โรคระบบภูมิคุ้มกัน

ปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลให้เกิดไขสันหลังอักเสบ เช่น

    โรคระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อสารมัยอิลีน : โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) และโรคปลอกประสาทอักเสบชนิดเอ็นเอ็มโอ (Neuromyelitis Optica: NMO)
    โรคระบบภูมิคุ้มกันที่ก่อการอักเสบ : โรคพุ่มพวงหรือโรคลูปัส (Lupus) กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome) โรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis) หรือโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

การวินิจฉัย Transverse Myelitis

ในเบื้องต้นนั้นแพทย์จะสอบถามถึงอาการที่เกิดขึ้น ประวัติทางสุขภาพ ร่วมกับประเมินผลทดสอบการทำงานของระบบประสาทจากวิธีการตรวจต่าง ๆ เช่น

การถ่ายภาพทางรังสี

การทำ CT Scan หรือ MRI Scan จะช่วยให้แพทย์มองเห็นการอักเสบบริเวณไขสันหลัง ปลอกหุ้มใยประสาทที่เสียหาย และความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อไขสันหลังหรือหลอดเลือด อาทิ ก้อนเนื้องอก หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือช่องไขสันหลังตีบแคบ

การเจาะน้ำไขสันหลัง

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลัง หรือก็คือของเหลวบริเวณรอบไขสันหลังและสมองออกมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวและโปรตีนบางชนิดในน้ำไขสันหลังที่จะช่วยบ่งบอกถึงการอักเสบหรือการติดเชื้อในร่างกายได้

การตรวจเลือด

แพทย์จะตรวจเลือดของผู้ป่วยเพื่อหาเชื้อโรคต้นเหตุของไขสันหลังอักเสบ หรือเพื่อยืนยันว่า ไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่มักก่อให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน อย่าง โรคลูปัส การติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคปลอกประสาทอักเสบชนิดเอ็นเอ็มโอ

การรักษา Transverse Myelitis

Transverse Myelitis ยังไม่มีวิธีรักษา จึงทำได้เพียงควบคุมและบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นด้วยการใช้ยาและการบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายควบคู่กันไป อาทิ

การใช้ยา

ตัวอย่างยาที่แพทย์นำมาใช้มีดังนี้

    ยาสเตียรอยด์ อาจฉีดเข้าสู่หลอดเลือดโดยตรงหรือให้รับประทานเป็นยาเม็ด เพื่อลดอาการอักเสบบริเวณกระดูกสันหลัง หากยาสเตียรอยด์ใช้ไม่ได้ผล ผู้ป่วยอาจต้องกรองพลาสมาในเลือด (Plasmapheresis) โดยเป็นการนำพลาสมาไม่ดีทิ้งไปแล้วนำเม็ดเลือดแดงที่ดีและสารน้ำทดแทนเข้าสู่ร่างกาย     
    ยา Intravenous Immunoglobulin (IVIg) เป็นแอนติบอดีของผู้มีสุขภาพดีที่จะถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย เพื่อกำจัดแอนติบอดีที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ
    ยาต้านไวรัส แพทย์อาจจ่ายยาในกลุ่มนี้ให้หากผู้ป่วยเป็นไขสันหลังจากการติดเชื้อไวรัส
    ยาแก้ปวด อาการปวดเรื้อรังอันเป็นอาการแทรกซ้อนมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไปอย่างยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน หรือยานาพรอกเซน ส่วนอาการปวดเส้นประสาทอาจรักษาด้วยยาต้านเศร้าและยากันชักบางชนิด
    ยารักษาภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจจ่ายยาที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาหรือควบคุมอาการแทรกซ้อนของแต่ละคน เช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ทำงานผิดปกติ ภาวะซึมเศร้า ปัญหาทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
    ยาป้องกัน Transverse Myelitis กำเริบ เนื่องจากผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซ้ำหรือพัฒนาไปสู่โรคเส้นประสาทตาอักเสบได้ หากมีสาเหตุมาจากโรคเกี่ยวกับปลอกประสาท จึงต้องรับประทานยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องตามดุลยพินิจของแพทย์

ทั้งนี้หากอาการที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการหายใจ ผู้ป่วยอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เพื่อป้องกันร่างกายขาดออกซิเจนและการเป็นอัมพาตขณะรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือสถานที่พักฟื้น

การบำบัด

แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเพื่อฟื้นฟูและดูแลตัวเองในระยะยาว ดังนี้

    กายภาพบำบัด เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ได้ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การใช้ไม้เท้า วีลแชร์ เครื่องพยุงหลัง หรืออุปกรณ์พยุงร่างกายอื่น ๆ อย่างถูกวิธี
    กิจกรรมบำบัด จะส่งเสริมให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ เช่น การแต่งตัว การทำอาหาร การอาบน้ำ หรือการทำความสะอาดบ้าน
    จิตบำบัด เป็นการพูดคุยเพื่อรักษาอาการวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมจากการอยู่ร่วมกับโรคนี้

อย่างไรก็ตามผู้ป่วย Transverse Myelitis ส่วนใหญ่มักดีขึ้นบางส่วนภายใน 3 เดือนแรก แต่บางคนอาจใช้เวลานานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจจะไม่หายดีเป็นปกติ โดยจะมีปัญหาในการเดิน ชาหรือรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม กระเพาะปัสสาวะและลำไส้มีปัญหา หรืออาจเป็นอัมพาตตลอดชีวิตในผู้ป่วยบางราย ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและวิธีการรักษาในช่วงแรก ๆ

ภาวะแทรกซ้อนของ Transverse Myelitis

ผู้ป่วย Transverse Myelitis อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดในระยะยาว กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยมักพบมากบริเวณขาทั้งสองข้างและก้น เป็นอัมพาตบริเวณแขนหรือขาบางส่วนหรือทั้งหมด หย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยผู้ชายอาจมีปัญหาอวัยวะเพศแข็งตัวและจุดสุดยอด หรือผู้หญิงอาจถึงจุดสุดยอดได้ยาก รวมไปถึงภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลที่เป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ความเครียดจากอาการปวด หรือปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ป่วย   

การป้องกัน Transverse Myelitis

เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แท้จริงของ Transverse Myelitis จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ป่วยอาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ โดยควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเองและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เข้ารับการรักษาปัญหาสุขภาพใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การอักเสบที่ไขสันหลังได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 37