แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 34
1
เด็กควรงดรับประทานลูกอม ขณะเข้ารับการจัดฟันเด็ก

หากพูดถึงเรื่องปัญหาฟันผุ บางคนอาจนึกถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงมากที่ตัวเองมีประสบการณ์มาในอดีต หรือบางคนอาจนึกถึงภาพฟันเป็นรูบิ่นแตก และมีสีดำสกปรก ไม่น่าดู และทำให้เสียบุคลิกภาพมาจนถึงตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้เสียบุคลิกภาพ มีสุขภาพฟันที่ไม่ดี โดยปัจจัยของการเกิดฟันผุนั้น หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า การรับประทานลูกอมหรือขนมหวานอาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะปลูกฝังให้เด็ก งดการรับประทานลูกอม แต่สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ ได้แก่ เชื้อโรคหรือเชื้อจุลินทรีย์ ถึงแม้ว่าจะมีเชื้อในปากอยู่มากมายหลายชนิด แต่มีเชื้อเฉพาะที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ และพบมีเชื้อชนิดนี้มากในปากของคนที่ฟันผุมาก รวมไปถึงน้ำตาล ซึ่งเป็นอาหารเฉพาะสำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ จำเป็นสำหรับการดำรงชีพและการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าว

ซึ่งเมื่อเชื้อใช้น้ำตาลแล้วจะเปลี่ยนแปลงทางเคมีให้สารสุดท้ายเป็นกรดอินทรีย์ และสามารถทำลายหรือสลายแร่ธาตุของฟันต่อไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะต้องใช้เวลานานพอที่การสลายแร่ธาตุของฟันมีการสูญเสียมาก จนเกิดเป็นรูฟันขึ้นอย่างถาวรในที่สุด ดังนั้น การรับประทานลูกอมในเด็กนั้น จึงเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุได้ง่าย ยิ่งถ้าเด็กได้รับประทานในปริมาณที่มาก และไม่ทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ไม่ดีเท่าที่ควรด้วย ก็จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดฟันผุและปัญหาอื่นๆตามมาได้ในอนาคต ซึ่งโรคฟันผุ พบมากในเด็ก ซึ่งเป้นวัยที่อาจจะยังแปรงฟันได้ไม่ถูกวิธี หรือละเลยการทำความสะอาดช่องปากและฟัน จึงทำให้เกิดฟันผุจนถึงขั้นสูญเสียฟันไปในที่สุด ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึง การปลูกฝังให้เด็กงดรับประทานลูกอม ในขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งข้อนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลไม่ให้เด็กรับประทานลูกอม

การจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กในสมัยนี้มีฟันผุมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ถูกต้อง ประกอบกับพ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน จนทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี พ่อแม่หลายคนคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กไม่มีความสำคัญ เพราะคิดว่า ยังไงก็จะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่อยู่แล้ว แต่ความคิดดังกล่าวถือว่าเป้นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะฟันน้ำนมของเด็ก มีผลต่อการขึ้นขอองฟันแท้

ถ้าหากฟันน้ำนมหลุดออกก่อนวัยอันควร จะส่งผลให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานฟันแท้ไม่สมบูรณ์ จนอาจจะเกิดภาวะฟันแท้หายได้ เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น การดูแลเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้สะอาด ควรเป้นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะมองข้าม และยิ่งเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วยแล้ว การรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน จึงเป้นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งต้องทำความสะอาดให้ดีทุกซอกทุกมุม และในเรื่องของการรับประทานอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญมากเช่นเดียว

นอกจากนี้ การรับประทานลูกอม ขนมหวาน หรือแม้กระทั่งน้ำอัดลม เพราะน้ำตาลที่เด้กรับประทานเข้าไป นอกจากจะใช้เป็นพลังงานในการเจริญเติบโตของเชื้อ และทำปฏิกิริยาทางเคมีให้สารสุดท้ายเป็นกรดอินทรีย์ปล่อยออกมานอกเซลล์ของเชื้อจุลินทรีย์ ไปสลายแร่ธาตุของฟันแล้ว เชื้อจุลินทรีย์จะใช้อีกส่วนหนึ่งของน้ำตาลสร้างเป็นชั้นเมือกเหนียวติดบนตัวฟัน เพื่อให้เป็นที่ยึดเกาะทับถมเพิ่มจำนวนเชื้อบนฟันในรูปของคราบจุลินทรีย์ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการทำปฏิกิริยาในการทำลายฟันมากขึ้นไปอีก ดังนั้น พ่อแม่ควรให้เด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก งดรับประทานไปเลย เพื่อที่จะเซฟในเรื่องของเครื่องมือ และทำให้สามารถความสะอาดได้อย่างเต็มที่ และให้เด็กงดการรับประทานอาหารที่มีความหวาน ลูกอม หรือน้ำอัดลม ควรให้เด้กรับประทานอาหารว่าง จำพวกผลไม้ดีกว่ารับประทานอาหารที่เป้นโทษต่อฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพฟันและสุขภาพร่างกายที่ดี ให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่ มีรอยยยิ้มที่สดใสสมวัยได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเราอยากเด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีฟันที่เรีงตัวกันอย่างสวยงามเป้นธรรมชาติ มีบุคลิกภาพที่สดใสมั่นใจ และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: จอตาลอก (Retinal detachment)   

จอตา (retina)* อาจเกิดการฉีกและหลุดลอกออกจากผนังลูกตาชั้นกลางหรือเนื้อเยื่อคอรอยด์ (choroid) ที่อยู่ข้างใต้ซึ่งมีหลอดเลือดส่งสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงจอตา เมื่อหลุดลอกเซลล์ประสาทจอตาก็จะขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้เกิดอาการตามัวมองไม่เห็นได้

จอตาลอกถือเป็นภาวะฉุกเฉิน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจทำให้สายตาพิการอย่างถาวรได้

โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ ซึ่งพบบ่อยในคนอายุมากกว่า 50 ปี และอาจมีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย

* จอตา (retina) หรือจอประสาทตา เป็นผนังชั้นในสุดที่บุอยู่ภายในลูกตาด้านหลัง มีลักษณะเป็นเยื่อบางใส ประกอบด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมาก ทำหน้าที่รับภาพ (แสงและสี) ที่ผ่านกระจกตาและแก้วตาลงมาตกกระทบที่จอตา แล้วส่งสัญญาณภาพผ่านเส้นประสาทตา (optic nerve) ไปที่สมอง

จอตาส่วนที่อยู่ตรงกลาง (central portion) จะมีเซลล์ประสาทรับรู้ทั้งแสงและสี ซึ่งเป็นเซลล์รูปกรวย (cones) อยู่อย่างหนาแน่น เป็นจุดที่เห็นภาพได้คมชัดที่สุด เรียกว่า จุดภาพชัด (macula) ซึ่งจะทำหน้าที่ในช่วงที่มีแสงมาก และการมองเห็นสี ถ้าจอตาส่วนนี้ผิดปกติจะทำให้สายตา (การเห็น) ไม่ชัด และความสามารถในการมองเห็นสีลดลง

ส่วนจอตาที่อยู่รอบนอก (peripheral portion) ของจุดภาพชัด ประกอบด้วยเซลล์ประสาทรับรู้แสง ซึ่งเป็นเซลล์รูปแท่ง (rods) ทำหน้าที่ในช่วงที่มีแสงน้อย ถ้าจอตาส่วนนี้ผิดปกติจะทำให้การมองเห็นภาพตอนกลางคืนหรือในที่สลัวลดลง และการมองเห็นภาพบริเวณรอบ ๆ ลดลง

จอตาจะมีเลือดมาเลี้ยง ซึ่งมาจากหลอดเลือดที่อยู่ในผนังลูกตาชั้นกลาง หรือเนื้อเยื่อคอรอยด์ (choroid) ซึ่งอยู่ใต้ชั้นจอตา

สาเหตุ

อาจเกิดจากจอตามีรอยฉีกหรือเป็นรู ปล่อยให้ของเหลวของน้ำวุ้นลูกตาแทรกซึมเข้าไปเซาะให้จอตาลอก หรือจอตาส่วนที่ยึดติดแน่นกับส่วนผิวของน้ำวุ้นลูกตาถูกแรงดึงรั้งจากน้ำวุ้นลูกตา ทำให้จอตาหลุดลอกจากผนังลูกตา หรือมีสิ่งซึมเยิ้ม (exudation) สะสมอยู่ใต้ชั้นจอตา

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากน้ำวุ้นลูกตาด้านหลังที่เสื่อมตามอายุ มีการหดตัวและลอกออกจากจอตา (posterior vitreous detachment)* เกิดแรงดึงรั้งต่อจอตา

นอกจากนี้ยังอาจพบได้บ่อยในผู้ที่มีสายตาสั้นชนิดรุนแรง เป็นเบาหวานที่มีโรคของจอตาแทรกซ้อน การได้รับบาดเจ็บที่ลูกตา การผ่าตัดต้อกระจกหรือภายในลูกตา การติดเชื้อหรือการอักเสบภายในลูกตา เนื้องอกหรือมะเร็งที่เกิดภายในลูกตาหรือแพร่กระจายจากที่อื่น

*พบบ่อยในคนอายุมากกว่า 70 ปี พบน้อยในคนอายุต่ำกว่า 50 ปี จะมีอาการมองเห็นเงาหยากไย่ ยุง หรือแมลงวัน ร่วมกับเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "อาการเห็นเงาหยากไย่ (floaters)" ด้านล่าง)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ โดยไม่มีอาการปวดตา

ระยะแรกเริ่มจะมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือแสงแฟลชถ่ายรูปในตาข้างหนึ่งหรือ 2 ข้าง ขณะหลับตาหรืออยู่ในที่มืด (ซึ่งมักเกิดจากจอตาถูกกระตุ้นจากแรงดึงรั้งของน้ำวุ้นลูกตา) และมีอาการเห็นเงาหยากไย่ ยุง หรือแมลงวันลอยไปมาที่เกิดขึ้นฉับพลันและมีจำนวนมาก และมีอาการตามัว (อาจเห็นคล้ายมีหมอกบัง/เห็นเงาคล้ายม่าน/เห็นภาพเป็นคลื่น ๆ หรือคดงอ) ร่วมด้วย

หากไม่ได้รับการรักษา และปล่อยให้เป็นอยู่นาน ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกว่าเห็นเงาอยู่ที่ขอบของลานสายตา ซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มลานสายตาภายในไม่กี่วัน

อาการเห็นเงาหยากไย่ (floaters)

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคน จะมองเห็นเงาคล้ายหยากไย่ ยุง หรือแมลงวัน ลอยไปมาอยู่ในลูกตาข้างเดียวหรือ 2 ข้าง เห็นชัดในที่สว่าง โดยเฉพาะเวลาแหงนมองท้องฟ้าใส มองไปที่ผนังสีขาว หรือก้มลง (เช่น ขณะดื่มน้ำ) ทำให้นึกว่ามีหยากไย่อยู่ที่ข้างนอกลูกตา และพยายามขยี้ตาแต่เงาก็ไม่หาย สร้างความรำคาญ นาน ๆ เข้าก็รู้สึกเคยชิน

ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำวุ้นลูกตาเสื่อม (vitreous degeneration) และหดตัวเล็กลง ทำให้สารโปรตีนในน้ำวุ้นหนาตัวกลายเป็นเศษเส้นใยลอยอยู่ในน้ำวุ้นลูกตา บังแสงที่ผ่านมาที่จอตา ทำให้เห็นเงาของเศษเส้นใยคล้ายเงาหยากไย่ลอยไปลอยมา ภาวะนี้มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี และไม่มีอันตราย นอกจากสร้างความรำคาญ ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใด ๆ บางคนอาจค่อย ๆ จางหายไปได้อย่างช้า ๆ

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุที่อาจมีอันตรายร้ายแรง ได้แก่

    น้ำวุ้นลูกตาด้านหลังลอก (posterior vitreous detachment/PVD) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบในผู้ที่มีน้ำวุ้นลูกตาด้านหลังเสื่อม บางรายเนื่องจากน้ำวุ้นมีการหดตัวและมีความเข้มข้นมากกว่าเดิม ทำให้น้ำวุ้นลูกตาหลุดลอกจากจอตา ถ้ามีการดึงรั้งจอตา ก็มักจะกระตุ้นให้เกิดอาการเห็นแสงวาบคล้ายแสงฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูป ร่วมกับอาการมองเห็นเงาหยากไย่
    เลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) ซึ่งเกิดจากจอตาเสื่อมจากเบาหวาน (diabetic retinopathy) จอตาฉีก (retinal tear) จุดภาพชัดเสื่อมตามอายุ (age-related macula degeneration) ภาวะเลือดออกง่าย หลอดเลือดดำจอตาอุดตัน การได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยจะมีอาการตามืดมัวลงอย่างฉับพลัน ร่วมกับเห็นเงาหยากไย่ ซึ่งจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ บางรายอาจเห็นสีแดง (สีเลือด) บังอยู่ในตา หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
    จอตาฉีก (retinal tear)/จอตาลอก (retinal detachment) ทำให้มองเห็นเงาหยากไย่ที่เกิดขึ้นฉับพลันและมีจำนวนมาก ร่วมกับการมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบและตามัว
    ผนังลูกตาชั้นกลางด้านหลังอักเสบ (posterior uveitis) อาจเกิดจากการติดเชื้อ (เช่น เอดส์) หรือปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง มักมองเห็นเงาหยากไย่จำนวนมากร่วมกับตามัว

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการเห็นเงาหยากไย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเงาที่เกิดขึ้นใหม่ เกิดขึ้นฉับพลัน เห็นเงาจำนวนมาก หรือมีอาการเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือตามัวร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อตรวจหาสาเหตุ ในรายที่ไม่พบความผิดปกติร้ายแรง ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาแต่อย่างใด แต่ควรติดตามตรวจกับแพทย์เป็นระยะ


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ไม่รักษา มักจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือพิการอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจวัดสายตามักพบว่าผิดปกติ

บางรายอาจพบสายตาสั้น หรือเป็นเบาหวาน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจวัดสายตา ตรวจลานสายตา ความดันลูกตา ใช้เครื่องมือส่องตรวจจอตา บางครั้งอาจต้องทำการตรวจจอตาด้วยอัลตราซาวนด์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ในรายที่เป็นเพียงจอตาฉีกหรือเป็นรูมักจะรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (laser surgery) ทำการปิดรูที่ฉีก หรือใช้วิธีจี้ด้วยความเย็น (freezing therapy หรือ cryopexy) บริเวณรอบ ๆ รูหรือรอยฉีก เพื่อช่วยยึดจอตากลับเข้าที่

ในรายที่มีจอตาลอกจำเป็นต้องทำการผ่าตัดแก้ไข

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่มีเพียงภาวะจอตาฉีกหรือเป็นรู หรือจอตาลอกระยะแรกเริ่ม มักจะช่วยให้สายตาฟื้นตัวได้ดี แต่ถ้ารักษาในระยะที่จอตาลอกมากแล้ว หรือมีเลือดออก หรือเป็นแผลเป็นแล้วก็ไม่ช่วยให้สายตาดีขึ้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตามัว เห็นคล้ายมีหมอกบัง/เงาคล้ายม่าน/เห็นภาพเป็นคลื่น ๆ หรือคดงอมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือแสงแฟลชถ่ายรูปขณะหลับตาหรืออยู่ในที่มืด เห็นเงาหยากไย่ ยุง หรือแมลงวันลอยไปมาที่เกิดขึ้นฉับพลันและมีจำนวนมาก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นจอตาลอก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี เนื่องจากอาจเกิดจากสาเหตุได้หลายอย่าง

อาจป้องกันในรายที่มีสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น

    ถ้าเป็นเบาหวานควรควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ป้องกันอย่าให้มีโรคของจอตาแทรกซ้อน
    ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บรุนแรง โดยการใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อดวงตา

ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีอาการมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูปเวลาหลับตาหรืออยู่ในที่มืด (ไม่ว่าจะมีอาการมองเห็นเงาหยากไย่หรือตามัวร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม) อาจเป็นอาการเตือนก่อนที่จะเกิดภาวะจอตาลอก ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว การได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้สายตาพิการได้

3
เครื่องมือกันฟันล้ม สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้เท่าการจัดฟันเด็กหรือไม่
 
การจัดฟันในเด็ก เป็นการแก้ไขปัญหาในเด็กที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม เพราะเด็กชอบรับประทานอาหารที่มีความหวาน เช่น ขนม คุกกี้และลูกอมต่างๆ รวมไปถึงน้ำหวาน ซึ่งเป้นอาหารที่ทำให้เกิดฟันผุ และยิ่งถ้าไม่ได้รับดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี แน่นอนว่า จะทำให้เกิดฟันผุได้อย่างแน่นอน เด็กบางคนเกิดฟันผุตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม ซึ่งการที่ฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควรนั้น ส่งผลต่อลักษณะของการขึ้นของฟันแท้
ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันล้ม


ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้น สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์ ซึ่งทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก็จะทำการแนะนำให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาฟันล้ม ทันตแพทย์อาจจะแนะนำได้ใช้เครื่องมือกันฟันล้ม ซึ่งต้องบอกว่า สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน พ่อแม่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักกับเครื่องมือกันฟันล้ม ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเครื่องมือกันฟันล้มว่าเป้นอย่างไร และเครื่องมือกันฟันล้มนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กเทียบเท่ากับการจัดฟันในเด็กหรือไม่
 
ก่อนอื่นเราจะมาแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือกันฟันล้มก่อนสำหรับเครื่องมือกันฟันล้มนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โดยปกติฟันแท้ที่จะขึ้นมาแทนฟันกรามน้ำนมในช่วงอายุ 11-12 ปี หากต้องถอนฟันกรามน้ำนมไปก่อนเวลาฟันแท้ขึ้นมากกว่า 1 ปี เด็กควรจะใส่เครื่องมือกันฟันล้ม เพื่อป้องกันปัญหาฟันแท้ขึ้นไม่ได้ ซึ่งตัวเครื่องมือกันฟันล้ม มีลักษณะเป็นวงแหวนสีเงินสวมลงบนฟัน และมีลวดเล็กๆดัดโค้งมาแตะฟันซี่ด้านหน้าเพื่อค้ำยันไว้ไม่ให้ฟันขยับเข้าหากัน อาจเป็นเพียงชิ้นเล็กๆข้างเดียว หรือเป็นแบบสองข้างซ้ายขวา

ก็จะขึ้นกับจำนวนฟันและตำแหน่งฟันน้ำนมที่ถูกถอนไป เครื่องมือนี้ทำได้ไม่ยาก และไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลย เพราะไม่มีแรงใดๆกระทำต่อตัวฟัน ตัวแหวนสีเงินยึดกับฟันด้วยวัสดุทันตกรรม ซึ่งเด็กจะถอดออกเองไม่ได้ แต่ถอดได้โดยเครื่องมือของทันตแพทย์เท่านั้น แต่เครื่องมือกันฟันล้มก็จะมีด้วยกัน 2รูปแบบ คือแบบถอดเองได้ กับแบบติดแน่น โดยจะทำงานช่วยรักษาระยะห่างระหว่างฟันเอาไว้ไม่ให้ลดลงหรือหายไปเพื่อให้ฟันแท้ในตำแหน่งนั้นสามารถขึ้นได้ โดยมีทั้งที่ทำจากโลหะและอะคริลิก ช่วยรักษาช่องว่าง ช่วยให้ฟันแท้ขึ้นได้และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ป้องกันปัญหาฟันเกหรือฟันขึ้นผิดที่ได้ หากถามว่า

การใส่เครื่องมือกันฟันล้ม กับการเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น แบบไหนดีกว่า อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากถามว่า เครื่องมือกันฟันล้ม สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้เท่ากับการจัดฟันในเด็กหรือไม่ อันนี้ต้องบอกว่า ในแง่ของการแก้ไขปัญหาฟันในเด็ก การเข้ารับการจัดฟันจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟัน ปัญหากล้ามเนื้อใบหน้า และสามาช่วยปรับตำแหน่งลิ้นได้ด้วย ซึ่งการจัดฟันในเด็ก จะแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า สำหรับการปัญหาฟันของเด็ก และยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวรด้วย
 
นอกจากนี้ ข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ยังช่วยทำให้เด็กออกเสียงได้ชัดขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้นซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือ ข้อดีที่มาพร้อมกับการจัดฟันในเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังคิดไม่ถึงว่าการจัดฟันในเด็กนั้นมีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านมากเลยทีเดียว


สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



5
บริหารจัดการอาคาร: น้ำยาแอร์ เลือกใช้อย่างไร และต่างกันอย่างไร ?

หลายๆครั้ง ที่คุณอาจจะต้องเจอช่างแอร์เรียกเก็บค่าเติมน้ำยาแอร์ หลังจากที่ล้างแอร์เสร็จ และช่างไม่ได้แจ้งว่ามีการรั่วซึมแต่อย่างไร การเติมน้ำยาแอร์จึงไม่จำเป็น และหากมีการเติมน้ำยาแอร์มากเกินกว่าสเปกของเครื่อง ก็จะเกิดลักษณะอาการ Over Charge ที่จะส่งผลให้แอร์ไม่เย็นได้ เพราะฉะนั้น ควรเลือกช่างที่ไว้ใจได้และเป็นมืออาชีพในการตรวจสอบและดูแลเครื่องปรับอากาศทุกครั้ง เพราะ น้ำยาแอร์ แท้จริงแล้วไม่ต้องเติมบ่อย โดยปกติแล้ว หากได้รับการติดตั้งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะผ่านไป 5 หรือ 10 ปี ถ้าแอร์ยังเย็นอยู่ปกติ ไม่มีการรั่วไหล เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าน้ำยาแอร์แต่อย่างใดเพราะน้ำยาแอร์อยู่ในระบบปิด หมุนเวียน ไม่มีทางหมด แต่หากมีรอยรั่วเกิดขึ้น อาจจะทำให้น้ำยาแอร์หมดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือบางครั้งระยะเวลาอาจขยายไปถึงเดือน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับขนาดของรอยรั่ว


ซึ่งในทุกครั้งที่มีการเติมน้ำยาแอร์ใหม่เกิดขึ้น ช่างจำเป็นต้องหารอยรั่วและอุดรอยรั่วให้สำเร็จก่อนจะเติมน้ำยาแอร์ใหม่ลงไปใหม่ เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนได้ แต่ในขณะเดียวกัน น้ำยาแอร์ก็มีอยู่หลายประเภท ซึ่งก็ต้องเติมให้ถูกต้อง เลือกใช้ให้ถูก เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะเกิดปัญหาตามมามากมายได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงน้ำยาแอร์ว่าจะต้องเลือกใช้อย่างไร และแต่ละประเภทมีความแตกต่างอย่างไรบ้างเพื่อเป็นข้อมูลให้คนทุกคนที่ต้องใช้แอร์เป็นประจำ เพื่อเกิดปัญหาก็จะได้รู้เท่าทัน ไม่โดนหลอกให้เสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์

น้ำยาแอร์มีหลายชนิด เป็นสารเคมี ที่จะใช้เพื่อการทำงานในระบบปรับอากาศและทำหน้าทีทำความเย็น ให้ไหลผ่านคอมเพรสเซอร์และคอยล์เย็น จะช่วยดูดซับปริมาณความร้อน กับความร้อนแฝง เพื่อเปลี่ยนอุณหภูมิและความดัน ให้ต่ำลงและกลายเป็นความเย็น ซึ่งจะมีหลายประเภทเช่น น้ำยาแอร์ R407C เป็นสารทำความเย็นและเป็นสารบริสุทธิ์สูง ซึ่งเป็นสารทำความเย็น ที่นิยมใช้ทดแทน R22 ที่เป็นระบบปรับอากาศแบบเดิม ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียง R22 มาก สามารถที่จะช่วยลดปัญหาการทำลายชั้นบรรยากาศ เหมาะสำหรับระบบทำความเย็นขนาดกลาง และระบบทำความเย็นในอาคาร อย่างเช่น ระบบทำความเย็นสำนักงาน ที่พักอาศัย หรือแม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรม


นอกจากนี้ ยังมีน้ำยาแอร์ R410A สามารถใช้กับระบบทำความเย็นรุ่นใหม่อย่างอินเวอร์เตอร์ เนื่องจากมีความสามารถในการนำความร้อนสูง ทำความเย็นได้รวดเร็ว มีค่าการทำลายชั้นโอโซนหรือชั้นบรรยากาศต่ำ และไม่ติดไฟ จุดสำคัญเป็นการใช้ปริมาณน้ำยาที่น้อยลง แต่ก็ยังคงคุณภาพ เอาไว้ได้ดีมากขึ้น สามารถที่จะใช้ได้ ตั้งแต่ระบบทำความเย็นทั่วไป จนถึงระบบการทำความเย็น ที่สามารถแช่แข็งได้ และยังมีน้ำยาแอร์  R32 เป็นสารผสมในกลุ่ม HFC เป็นสารทำความเย็น แบบไม่เป็นสารผสม

มีค่าการทำลายชั้นโอโซน และการเกิดภาวะเรือนกระจกในปริมาณที่ต่ำมาก สามารถที่จะติดไฟได้ แต่ไม่มีความรุนแรง สะดวกเมื่อเกิดปัญหาในเรื่องของน้ำยารั่ว ก็จะสามารถเติมได้ทันที เหมาะสำหรับระบบทำความเย็นในอาคาร ที่พักอาศัย ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งตู้เย็นและห้องเย็นได้ด้วย เห็นมั้ยว่า น้ำยาแอร์นั้นมีหลากหลายประเภทและมีความแตกต่างกัน ซึ่งการเลือกใช้ก็ต้องอยู่ที่คงวามเชี่ยวชาญของช่าง ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องของน้ำยาแอร์หลายคนอาจจะไม่มีความรู้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือจะต้องใช้ความถูกต้อง ถูกสเปก เช่น ต้องใช้น้ำยาแอร์ที่เป็นชนิดเดียวกัน ห้ามใช้คนละชนิดมาผสมกัน

การเติมน้ำยาแอร์ R32 สามารถเติมส่วนที่น้ำยาขาดเพิ่มเข้าไปได้เลย เนื่องจากเป็นสารเชิงเดี่ยวไม่มีการผสมสารใดใดเพิ่มเติม แต่ในทางกลับกันการเติมน้ำยาแอร์ R410A กลับมีความจำเป็นต้องถ่ายน้ำยาแอร์เดิมออกมาให้หมดทุกครั้งก่อนเติมน้ำยาใหม่

อย่างไรก็ตามทางเราอยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

6
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


7
หมอออนไลน์: เลือดออกใต้ตาขาว (Subconjunctival hemorrhage)

เลือดออกใต้ตาขาว เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้เยื่อตาขาวแตกเป็นรอยห้อเลือด เห็นเป็นปื้นแดงที่บริเวณตาขาว ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น ถูกตี ถูกต่อย ถูกชน ถูกแรงกระแทก หรือเผลอขยี้ตาแรง ๆ

บางรายอาจเกิดจากอาการไอหรือจามรุนแรงจนหลอดเลือดฝอยในตาขาวแตกได้ เช่น ไอกรน หลอดลมอักเสบ เป็นหวัด เป็นต้น

ผู้ป่วยเยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไวรัส บางครั้งอาจมีรอยห้อเลือดในตาขาวได้

ส่วนน้อยที่อาจเกิดจากภาวะเลือดออกง่าย เช่น โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น พวกนี้มักมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว และอาจมีเลือดออกตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกายร่วมด้วย หรืออาจเกิดจากโรคติดเชื้อรุนแรง เช่น เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น


อาการ

ตาขาวเป็นปื้นแดง หรือรอยห้อเลือด อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ โดยไม่มีอาการปวดตาหรือตาพร่ามัวร่วมด้วย

มักมีประวัติและอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยตามแต่สาเหตุที่เป็น เช่น การได้รับบาดเจ็บ การไอจามแรง ๆ มีไข้ หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เยื่อตาขาวอักเสบ เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับโรคที่เป็นต้นเหตุเป็นสำคัญ ถ้าเกิดจากหลอดเลือดฝอยในตาขาวแตกจากการไอหรือจาม มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร

ในรายที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง อาจมีเลือดออกในช่องลูกตาหน้า (hyphema)* ร่วมด้วย โดยจะมีอาการปวดตารุนแรงและตาพร่ามัวร่วมด้วย

*เลือดออกในช่องลูกตาหน้า คือภาวะที่มีเลือดออกในช่องลูกตา (anterior chamber ซึ่งเป็นช่องที่อยู่ด้านหน้าสุดของลูกตา คืออยู่ระหว่างกระจกตากับแก้วตา) อาจเกิดจากการบาดเจ็บ หรือเกิดขึ้นจากภาวะเลือดออกง่าย อาจพบร่วมกับภาวะเลือดออกใต้ตาขาวได้ (ดูเพิ่มเติมที่ ตาได้รับบาดเจ็บรุนแรง)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยจะตรวจพบตาขาวมีปื้นแดงหรือรอยห้อเลือด

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีสาเหตุจากการได้รับบาดเจ็บที่ตา ถ้ามีอาการปวดตา ตาพร่ามัว หรือมีเลือดออกในช่องลูกตาหน้า แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. ถ้ามีจุดแดงจ้ำเขียว มีเลือดตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มีไข้ ตับโต ม้ามโต หรือสงสัยมีสาเหตุที่ร้ายแรง แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุ

3. ถ้าเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบจากไวรัส (มีอาการเคืองตา น้ำตาไหล) ก็ให้การรักษาแบบเยื่อตาขาวอักเสบจากไวรัส

4. ถ้ามีสาเหตุจากการไอจาม หรือไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ไม่ปวดตาและยังมองเห็นชัดดี แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ และให้ผู้ป่วยสังเกตอาการโดยไม่ต้องให้ยารักษา ซึ่งรอยห้อเลือดจะค่อย ๆ จางหายได้เองใน 1-4 สัปดาห์

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุ ถ้าเกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อย หรือจากการไอ จาม รอยห้อเลือดจะค่อย ๆ จางหายได้เองใน 1-4 สัปดาห์


การดูแลตนเอง

1. ถ้าพบว่าตาขาวเป็นปื้นแดงหรือรอยห้อเลือด และมีอาการปวดตา ตาพร่ามัว เคืองตามาก หรือน้ำตาไหลร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว และดูแลรักษาตามที่แพทย์แนะนำ

2. ถ้าไม่มีอาการปวดตาและยังมองเห็นได้ชัดดี ไม่มีอาการตาพร่ามัว ไม่มีประวัติว่าตาได้รับบาดเจ็บรุนแรง และมั่นใจว่าเป็นเลือดออกใต้ตาขาวจากตาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หรือจากการไอแรง ๆ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการไอจามแรง ๆ เมื่อรู้สึกอยากจะไอจาม ให้รีบอ้าปากกว้างขณะไอจาม
    ระวังอย่าเผลอขยี้ตา
    หากรู้สึกเคืองตา ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาวันละ 2-3 ครั้ง
    สังเกตอาการทุกวัน รอยห้อเลือดจะค่อย ๆ ลดขนาดและจางลง จนหายขาดภายใน 1-4 สัปดาห์


ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีประวัติว่าตาได้รับบาดเจ็บรุนแรง
    มีอาการปวดตา ตาพร่ามัว หรือน้ำตาไหล
    มีเลือดออกที่อื่น ๆ มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง หรือมีไข้ร่วมด้วย
    รอยห้อเลือดลุกลามมากขึ้น
    อาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์ 
    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

ถ้าเกิดจากการบาดเจ็บ หาทางป้องกันไม่ให้ตาได้รับบาดเจ็บ

ถ้าเกิดจากการไอรุนแรง ควรรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุและกินยาบรรเทาอาการไอ


ข้อแนะนำ

อาการเลือดออกใต้ตาขาวที่เกิดจากตาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หรือจากการไอแรง ๆ มักไม่มีอันตรายและค่อย ๆ หายไปได้เอง

อย่างไรก็ตาม ควรแยกให้ออกว่าไม่ได้มีเลือดออกในช่องลูกตาหน้า (จากการบาดเจ็บที่รุนแรง และมีอาการปวดตา ตาพร่ามัวร่วมด้วย) และไม่ได้เกิดจากภาวะเลือดออกง่ายจากโรคทางเลือด (มักมีอาการจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกที่อื่น ๆ ร่วมด้วย) หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (มีอาการเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดง มีขี้ตา) หากไม่แน่ใจควรไปพบแพทย์ตรวจให้แน่ใจ

8
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


9
การจัดฟันเด็ก เจ็บหรือไม่

ในเรื่องของการเข้ารับการรักษาฟันในวัยเด็ก หลายคนก็เกิดความกลัวที่เข้ารับพบกับทันตแพทย์ เพราะการเข้ารับการรักษาฟันไม่ว่าจะเป็นการถอนฟัน การอุดฟัน อาจจะทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวดในระหว่างการรักษา บางคนอาจจะฝังใจทำให้เกิดความกลัว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจะต้องทำการพูดคุยหรือปลูกฝังให้เด็กได้ทราบถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ให้เด็กได้ตระหนักถึงข้อดีของการดูแลรักษาสุขภาพฟัน และให้รู้ถึงข้อเสียของปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กดูแลสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี  คอยบอกให้เด็กได้ทราบว่า การที่เราจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและแข็งแรงนั้น เราจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณเตือนที่กำลังบ่งบอกว่ากำลังจะมีปัญหาในเรื่องของปัญหาช่องปากและฟัน ก็จะต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ในวัยเด็กนั้น การเข้ารับการรักษาฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตั้งแต่บุตรหลานของท่านมีฟันน้ำนมเลยทีเดียว เนื่องจากฟันน้ำนมนั้น มีผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อย่าคิดว่าฟันน้ำนมไม่มีความสำคัญ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ละเลยในการสอนให้บุตรหลานของท่านดูแลฟันน้ำนม เพราะคิดว่า เดี๋ยวฟันแท้ก็งอกขึ้นมา เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการรักษาความสะอาดฟันน้ำนมในเด็ก ก็มีความสำคัญไม่แพ้ฟันแท้เลย เพราะถ้าหากฟันแท้งอกขึ้นมาแล้วเกิดปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟันหรือลักษณะของฟัน นั่นก็คืออุปสรรคอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะอาจจะทำให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพฟันที่ไม่ดี มีฟันผุได้ เนื่องจากรูปร่างของฟันก็ส่งผลต่อการทำความสะอาดฟันเช่นกัน ดังนั้นหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของลักษณะฟัน ก็ควรที่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ความร่วมมือในการเข้ารับการรักษา เพราะเด็กหลายคนอาจจะมีความกลัวในเรื่องของการเข้ารับการรักษาที่เกี่ยวกับช่องปากและฟัน อาจจะกลัวเจ็บจึงไม่ยอมที่จะเข้ารับการจัดฟัน  แถมยังทำให้มีการจำกัดในเรื่องของการรับประทานอาหารและอาจจะส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วย ในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก เด็กๆอาจจะคิดว่า การจัดฟันนั้น ทำให้รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการจัดฟัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าการจัดฟันนั้น อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับผลการรักษาแล้วนั้น ถือว่าคุ้มค่ามาก และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กว่ามีความเจ็บปวดมากน้อยแค่ไหน และเราจะมีวิธี


การพูดอย่างไรเพื่อให้เด็กได้คลายความกังวลและตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากมาก ขั้นแรกอาจจะมีการตรวจเช็คประเมินช่องปาก เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ทำการวางแผนการรักษา หากเด็กมีฟันผุหรือปัญหาต่างๆ ก็อาจจะทำให้ทันตแพทย์พิจารณาให้เด็กเข้ารับการถอนฟันหรืออุดฟันเสียก่อน เพื่อที่ได้ไม่เกิดปัญหาระหว่างการจัดฟัน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อดีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันผุตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้การจัดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย หลังจากการเข้ารับการถอนฟัน แต่การเจ็บปวดในเรื่องของการถอนฟัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจออยู่แล้ว หลังจากนั้น 2-3 วันอาการเจ็บปวดก็จะหายไป เมื่อทันตแพทย์ติดเครื่องมือการจัดฟันภายในช่องปาก ก็อาจจะทำให่รู้สึกตึงๆ ในช่วงแรก หลังจากนั้นก็จะรู้สึกชินไปเองที่มีเครื่องมืออยู่ภายในช่องปาก ต้องบอกเลยว่า การจัดฟันในเด็กนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดในระยะแรก แต่ก็ถือว่าช่วยแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้อย่างดีเลยทีเดียว

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ ทางเราจะช่วยแนะนำในเรื่องของการพูดคุยกับเด็ก เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาในเรื่องของฟันว่าสุขภาพช่องปากและฟันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา และทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

10
เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ที่คนชอบความแต่งบ้านนิยม

คนรักการแต่งบ้านมักจะมองหาไอเทมที่ผสมผสานระหว่าง ดีไซน์ ความสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งาน และ การสะท้อนตัวตน ได้อย่างลงตัว โดยมักจะติดตามเทรนด์ใหม่ๆ และเลือกของที่มีคุณภาพ

1. เฟอร์นิเจอร์ชิ้นหลักที่โดดเด่น (Statement Furniture)

เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เป็นหัวใจของห้อง ที่สามารถกำหนดสไตล์และบรรยากาศได้ทันที

โซฟาดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: เป็นจุดศูนย์รวมของห้องนั่งเล่น คนชอบแต่งบ้านมักเลือกโซฟาที่มีดีไซน์เฉพาะตัว เช่น โซฟาทรงโค้ง (Curved Sofa) ที่กำลังเป็นที่นิยม, โซฟาผ้าลินินสีอ่อนสไตล์นอร์ดิก, หรือโซฟาหนังแท้สไตล์ Mid-Century Modern

จุดเด่น: นอกจากความสบายแล้ว ยังเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งในห้อง

โต๊ะกลาง (Coffee Table) ที่มีเอกลักษณ์:

ทำไมถึงนิยม: เป็นจุดโฟกัสที่สองในห้องนั่งเล่น คนชอบแต่งบ้านมักเลือกโต๊ะกลางที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น หินอ่อน ไม้เนื้อแข็ง หรือมีดีไซน์แปลกตา เช่น โต๊ะกลางทรงกลม โต๊ะกลางที่มีฐานเป็นประติมากรรม

จุดเด่น: ช่วยเสริมสไตล์และเป็นพื้นที่สำหรับวางของตกแต่งชิ้นเล็กๆ

เก้าอี้ดีไซน์ (Accent Chair):

ทำไมถึงนิยม: เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับมุมห้อง หรือมุมอ่านหนังสือ เลือกเก้าอี้ที่มีรูปทรงโดดเด่น วัสดุที่แตกต่าง เช่น เก้าอี้หวาย เก้าอี้ไม้ดีไซน์คลาสสิก หรือเก้าอี้หุ้มผ้ากำมะหยี่สีสด

จุดเด่น: เป็นเหมือนงานศิลปะที่นั่งได้


2. สิ่งทอ (Textiles) ที่เพิ่ม Texture และความอบอุ่น

สิ่งทอช่วยเพิ่มความนุ่มนวล ความอบอุ่น และมิติให้กับห้อง

ผ้าห่มถัก / ผ้าคลุมโซฟา:

ทำไมถึงนิยม: เพิ่มความสบายและ Texture ให้กับโซฟาหรือเตียงนอน เลือกผ้าห่มขนสัตว์เทียม ผ้าถักไหมพรมเนื้อหนา หรือผ้าลินินยับๆ ในโทนสีที่เข้ากับห้อง

จุดเด่น: สร้างบรรยากาศ Hygge (ฮุกกะ) หรือความอบอุ่นแบบสแกนดิเนเวีย

หมอนอิงดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: เป็นของตกแต่งที่เปลี่ยนลุคโซฟาหรือเตียงได้ง่ายที่สุด เลือกปลอกหมอนที่มี Texture น่าสนใจ เช่น ผ้ากำมะหยี่ ผ้าลินิน ผ้าถัก หรือมีลวดลาย Abstract/เรขาคณิต

จุดเด่น: เพิ่มสีสันและลูกเล่นให้กับพื้นที่

พรม:

ทำไมถึงนิยม: ช่วยกำหนดพื้นที่การใช้งาน เพิ่มความอบอุ่น และเพิ่ม Texture ให้กับพื้น เลือกพรมขนสัตว์ พรมทอจากเส้นใยธรรมชาติ หรือพรมที่มีลวดลาย Abstract

จุดเด่น: เป็นเหมือนงานศิลปะบนพื้น


3. ของตกแต่งผนัง (Wall Decor) ที่บ่งบอกตัวตน

ผนังเปล่าๆ คือผืนผ้าใบที่รอการเติมเต็มด้วยงานศิลปะ

งานศิลปะ / ภาพพิมพ์ (Art Prints):

ทำไมถึงนิยม: เลือกภาพวาด Abstract, ภาพพิมพ์ลายเส้น (Line Art), ภาพถ่ายขาวดำ, หรือโปสเตอร์วินเทจ ที่สะท้อนรสนิยมส่วนตัว ใส่กรอบไม้เรียบๆ หรือกรอบโลหะ

จุดเด่น: สร้างจุดโฟกัสและเพิ่มความเป็นศิลปะให้กับห้อง

กระจกดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: นอกจากฟังก์ชันการใช้งานแล้ว กระจกยังช่วยสะท้อนแสง ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และเป็นของตกแต่งที่สวยงามในตัวเอง เลือกกระจกทรงกลม กรอบบาง หรือกรอบโลหะดีไซน์เก๋

จุดเด่น: เพิ่มมิติและแสงสว่าง

ผ้าแขวนผนัง (Wall Hanging / Tapestry):

ทำไมถึงนิยม: เป็นทางเลือกที่ง่ายในการเปลี่ยนบรรยากาศผนัง โดยเฉพาะผ้าทอ Macrame หรือผ้าที่มีลวดลายชนเผ่า/ธรรมชาติ

จุดเด่น: เพิ่ม Texture และความอบอุ่นแบบโบฮีเมียนหรือนอร์ดิก


4. แสงไฟ (Lighting) ที่สร้างบรรยากาศ

โคมไฟไม่ได้มีแค่หน้าที่ให้แสงสว่าง แต่ยังเป็นของตกแต่งที่สำคัญ

โคมไฟดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: เลือกโคมไฟตั้งพื้น โคมไฟตั้งโต๊ะ หรือโคมไฟเพดานที่มีดีไซน์โดดเด่น วัสดุธรรมชาติ (ไม้ เซรามิก) หรือโลหะ เช่น โคมไฟขาตั้งสามขา โคมไฟทรงกลม

จุดเด่น: เป็นงานประติมากรรมที่ให้แสงสว่าง และสร้างบรรยากาศอบอุ่นด้วยแสง Warm White

เทียนหอม / เชิงเทียน:

ทำไมถึงนิยม: สร้างบรรยากาศผ่อนคลายและโรแมนติก กลิ่นหอมช่วยบำบัด

จุดเด่น: เป็นของตกแต่งที่สวยงามในถ้วยแก้ว หรือเชิงเทียนดีไซน์เรียบหรู


5. พืชพรรณธรรมชาติ (Greenery)

การนำธรรมชาติเข้ามาในบ้านเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

ต้นไม้ในร่ม:

ทำไมถึงนิยม: เพิ่มความสดชื่น ฟอกอากาศ และสร้างชีวิตชีวาให้กับห้อง เลือกต้นไม้ใบเขียวที่มีรูปทรงสวยงาม เช่น มอนสเตอร่า, ลิ้นมังกร, ยางอินเดีย

จุดเด่น: เป็นของตกแต่งที่มีชีวิตและเปลี่ยนแปลงได้

แจกัน / กระถางดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: เลือกแจกันเซรามิก แก้วใส หรือกระถางดินเผาดีไซน์เรียบง่าย เพื่อให้ต้นไม้หรือดอกไม้ดูโดดเด่น

จุดเด่น: เป็นของตกแต่งที่สวยงามแม้ไม่มีดอกไม้


6. ของใช้จิปาถะที่สวยงามและใช้งานได้จริง

ถาด / กล่องเก็บของดีไซน์สวย:

ทำไมถึงนิยม: ช่วยจัดระเบียบของจุกจิกบนโต๊ะ หรือชั้นวาง ให้ดูเป็นระเบียบและสวยงาม

จุดเด่น: ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ โลหะ หรือเซรามิก

หนังสือปกสวย / นิตยสารไลฟ์สไตล์:

ทำไมถึงนิยม: นอกจากไว้อ่านแล้ว ยังเป็นของตกแต่งที่บ่งบอกรสนิยม วางซ้อนกันบนโต๊ะกลาง หรือชั้นวาง

จุดเด่น: เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง

คนชอบแต่งบ้านมักจะให้ความสำคัญกับ รายละเอียด คุณภาพ และความเข้ากันของทุกองค์ประกอบ เพื่อให้บ้านสะท้อนตัวตนและเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่ที่สุดครับ

11
ทำไมเด็กที่ยังฟันแท้ขึ้นไม่ครบ ต้องเข้ารับการจัดฟันเด็ก

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พอๆกับเรื่องของสุขภาพของเด็กเลยทีเดียว เพราะเด็กในวัยที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบ ถือว่าเป้นวัยแห่งการเรียนรู้และเป็นช่วงที่พัฒนาการของเด็กยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุและทำให้เกิดการสูญเสียก่อนวัยอันควร  เพราะการที่ฟันของเด็กหลุดก่อนเวลาอันควรนั้น จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อาจจะส่งผลทำให้ฟันแท้ขึ้นมาผิดรูปหรือบางรายอาจจะเกิดภาวะฟันแท้หาย

ซึ่งก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรที่จะสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตและหมั่นสังเกตความผิดปกติของฟันของเด็กด้วย และถ้าหากพบความผิดปกติในเรื่องของสุขภาพฟัน หรือมีการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ เพราะการจัดฟันในปัจจุบันนี้ สามารถรักษาได้ตั้งแต่เด็กที่อายุ 4-15 ปี เพราะพฤติกรรมในวัยเด้กไม่ว่าจะเป็นการดูดนิ้ว ดูดขวดนม ถือว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาฟันได้ในอนาคต ซึ่งหากไม่รีบเข้ารับการรักษาหรือแก้ไข อาจจะส่งผลไปในระยะยาวได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น อาจจะแก้ไขได้ยาก หรือมีปัญหาอื่นลุกลามมาในอนาคตได้ เพราะฉะนั้น รีบแก้ไขจะดีที่สุด

ซึ่งในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังมีข้อสงสัยและคำถามในใจว่า ถ้าหากบุตรหลานของท่านยังมีฟันแท้ที่ยังขึ้นไม่ครบ สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ วันนี้ทางคลินิกของเรามีคำถามในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก สำหรับเด็กที่ยังมีฟันแท้ขึ้นไม่ครบ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ ซึ่งเด็กที่มีอายุ 4-7 ปี เหมาะสำหรับการจัดฟันในเด็กที่ใช้เครื่องมือ EF LINE เพราะการจัดฟันในเด็กแบบนี้ มีเครื่องมือการจัดฟันเป็นลักษณะเป็นชิ้นยางที่มีสีสันที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก ซึ่งง่ายต่อการรักษา เพราะการรักษาทางทันตกรรม เด็กในวัยนี้อาจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจและอาจจะไม่สามารถร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาได้ แต่การรักษาทางทันตกรรมด้วยใช้เครื่องมือ EF LINE ยังสามารถช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กได้ สามารถปรับตำแหน่งลิ้นได้ และยังแก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้

ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมต่างๆในวัยเด็ก เพราะฉะนั้น การจัดฟันในเด็กนั้น จึงไม่ต้องรอให้เด็กมีฟันแท้ขึ้นครบก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ เช่นเดียวกับเด็กที่มีอายุ 10-15 ปี ที่มีปัญหาฟันแล้วฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบ ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟันได้ แต่เด็กควรที่จะให้ความร่วมมือกับทันตแทพย์ในการรักษา เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สาเหตุที่เด็กในวัยนี้ สามารถสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่นเพราะเด็กในวัยนี้เริ่มจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้แล้ว ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงมีประโยชน์ต่อเด็กในระยะยาวได้ ช่วยป้องกันการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาฟัน ก็ไม่ต้องรอให้เด็กมีฟันแท้ขึ้นครบ สามารถพาเด็กมาปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ทันที เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทาด้านการทันตกรรมในเด็ก และยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอบากให้เด็กๆทุกคนมีฟันที่สวยงาม แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

12
การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในระบบท่อลมร้อน

การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในระบบท่อลมร้อนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในโรงงานอุตสาหกรรมครับ เพราะช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษา ประหยัดพลังงาน และป้องกันการหยุดชะงักของการผลิต อุปกรณ์ในระบบท่อลมร้อนต้องเผชิญกับสภาวะที่ท้าทาย ทั้งความร้อนสูง การกัดกร่อน และการเสียดสี ดังนั้น การดูแลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน

นี่คือแนวทางสำคัญในการยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในระบบท่อลมร้อน:


1. การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น

นี่คือรากฐานของการยืดอายุการใช้งาน:

วัสดุทนความร้อนสูง:

ท่อ: ควรเลือกวัสดุที่ทนทานต่ออุณหภูมิใช้งานสูงสุดที่คาดว่าจะเจอ เช่น สเตนเลสสตีลเกรดที่ทนความร้อน (เช่น 304, 316, 310S) หรือ เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon Steel) ที่มีการเคลือบผิวทนความร้อน

พัดลม: ใบพัดและโครงสร้างของพัดลมต้องทำจากวัสดุที่ทนความร้อนและทนทานต่อการขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูง เช่น เหล็กกล้าหรือสเตนเลสสตีล

ฉนวน: เลือกฉนวนที่ทนอุณหภูมิได้ตามช่วงการใช้งาน เช่น ผ้าใยแก้ว หรือ ผ้าใยเซรามิก เพื่อลดการแผ่รังสีความร้อนและป้องกันความร้อนสะสมบนผิวท่อ

วัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อน:

หากลมร้อนมีไอกรด, ด่าง, หรือสารเคมีปะปน ต้องเลือกใช้วัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนเฉพาะนั้นๆ เช่น สเตนเลสสตีลเกรดพิเศษ หรือ ท่อไฟเบอร์กลาสเสริมแรง (FRP) สำหรับงานที่มีการกัดกร่อนสูง

วัสดุที่ทนทานต่อการเสียดสี (Abrasion Resistance):

หากลมร้อนมีฝุ่นละอองหรืออนุภาคแข็งๆ ปะปน ควรเลือกใช้วัสดุที่มีความแข็งและทนทานต่อการเสียดสีบริเวณที่คาดว่าจะมีการสึกหรอสูง หรือออกแบบให้มี Lining ป้องกันการสึกหรอ


2. การออกแบบและติดตั้งที่ได้มาตรฐาน
การออกแบบและติดตั้งที่ดีช่วยลดภาระของอุปกรณ์:

ขนาดท่อและความเร็วลมที่เหมาะสม:

ขนาดท่อ: ไม่ควรเล็กหรือใหญ่เกินไป ขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้ลมไหลได้อย่างราบรื่น ลดแรงต้านทาน ทำให้พัดลมทำงานไม่หนักเกินไป

ความเร็วลม: ต้องมีความเร็วที่เพียงพอที่จะนำพาอนุภาคต่างๆ ออกไปได้หมดโดยไม่เกิดการตกค้าง แต่ก็ไม่เร็วเกินไปจนก่อให้เกิดการสึกหรอจากการเสียดสีที่รุนแรง

ลดการหักเลี้ยวและโค้งงอ:

ออกแบบเส้นทางท่อให้ตรงที่สุด และใช้รัศมีโค้งที่กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดแรงเสียดทานและการเปลี่ยนแปลงทิศทางลมที่ทำให้เกิดการสึกหรอ

การรองรับการขยายตัว (Expansion Joints):

ติดตั้ง ข้อต่ออ่อน (Expansion Joints) ในจุดที่เหมาะสม เพื่อรองรับการขยายตัวและหดตัวของท่อเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยป้องกันความเครียดที่อาจทำให้ท่อและอุปกรณ์เสียหาย

ระบบยึดและแขวนท่อ (Duct Supports):

ติดตั้งระบบรองรับท่อที่แข็งแรง มั่นคง และสามารถรองรับน้ำหนักของท่อและฉนวนได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการหย่อนคล้อย การสั่นสะเทือน หรือการโก่งงอของท่อ

การระบายน้ำทิ้ง (Drainage):

หากลมร้อนมีโอกาสเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ ควรออกแบบให้มีจุดระบายน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อน


3. การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)
การตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญ:

การตรวจสอบประจำ:

อุณหภูมิ: ตรวจสอบอุณหภูมิของลมร้อนและอุณหภูมิพื้นผิวท่ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในช่วงที่อุปกรณ์สามารถทนทานได้

การสั่นสะเทือนของพัดลม: ตรวจสอบระดับการสั่นสะเทือนของพัดลม หากมีการสั่นสะเทือนผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่ต้องแก้ไข

รอยรั่ว/รอยแตก: ตรวจสอบรอยรั่วที่ท่อ, ข้อต่อ, แดมเปอร์, หรือฉนวน หากพบต้องซ่อมแซมทันที

การสึกหรอ/กัดกร่อน: ตรวจสอบความหนาของผนังท่อ, สภาพใบพัดพัดลม, หรือจุดที่มีการเสียดสี/กัดกร่อนเป็นพิเศษ

การหล่อลื่น: หล่อลื่นส่วนประกอบที่มีการเคลื่อนไหวของพัดลม (เช่น แบริ่ง) ตามคำแนะนำของผู้ผลิต

การทำความสะอาด:

ทำความสะอาดท่อ: กำจัดฝุ่นละออง, เขม่า, หรืออนุภาคที่อาจสะสมในท่อ ซึ่งอาจขัดขวางการไหลของลมและทำให้เกิดการกัดกร่อนหรือสึกหรอเฉพาะจุด

ทำความสะอาดใบพัดพัดลม: กำจัดสิ่งสกปรกที่เกาะบนใบพัด ซึ่งอาจทำให้พัดลมเสียสมดุลและสั่นสะเทือน

การสอบเทียบและปรับแต่ง: ตรวจสอบการทำงานของเซ็นเซอร์, แดมเปอร์, และระบบควบคุม ให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ


4. การควบคุมและตรวจสอบการทำงาน
ระบบควบคุมอัตโนมัติ: ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ, แรงดัน, และการไหลของลมอย่างต่อเนื่อง หากพบค่าผิดปกติ ระบบจะแจ้งเตือนหรือปรับการทำงานโดยอัตโนมัติ

การฝึกอบรมบุคลากร: ให้ความรู้แก่พนักงานผู้ปฏิบัติงานและบำรุงรักษา เกี่ยวกับหลักการทำงาน, การตรวจสอบเบื้องต้น, และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานและดูแลรักษาระบบได้อย่างถูกต้อง

การนำแนวทางเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในระบบท่อลมร้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด และช่วยให้การดำเนินงานของโรงงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพครับ

13
การเตรียมตัว ก่อนให้อาหารสายยางทางหน้าท้อง !

การใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้อง เป็นการนำสายยางให้อาหารเจาะผ่านทางหน้าท้องเพื่อที่จะได้ให้อาหารผู้ป่วยได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการรักษาทางการแพทย์อย่างหนึ่ง และเป็นวิธีนี้ที่ง่าย สะดวก รวดเร็วและผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงต่อการผ่าตัดใหญ่ เพราะขนาดแผลบริเวณหน้าท้องที่ทำการเจาะเพื่อนำสายยางให้อาหารเข้าไป จะยาวเพียง 0.5 เซนติเมตรเท่านั้น

ทั้งยังเป็นวิธีที่ให้อาหารโดยการส่งตรงไปยังกระเพาะอาหารเลย ซึ่งวิธีดังกล่าวผู้ป่วยจะได้ไม่ทรมาน หรือเจ็บปวดเวลาที่ต้องนำสายยางให้อาหารสอดเข้าผ่านรูจมูก และยังไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองของอวัยวะต่างๆภายในที่สายยางให้อาหารผ่านเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามการให้อาหารทางสายยางนั้น จะต้องมีการเตรียมตัวทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยผู้ดูแลจะต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการให้อาหารให้พร้อมและครบถ้วน ทำความสะอาดทุกครั้งก่อนการให้อาหารทางสายยาง ทั้งนี้ผู้ป่วยเองก็จะต้องเตรียมตัวเช่นเดียวกัน เพื่อให้มีความพร้อมและความปลอดภัยในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

โดผู้ป่วยจะต้องมีการเตรียมตัว โดยผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางให้อาหารทางบริเวณหน้าท้องจะต้องงดอาหารและน้ำดื่มก่อนการให้อาหารทางสายยางประมาณ 6 -8 ชั่วโมง งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น Plavix Coumadin หรือ Aspirin เป็นเวลา 7 วันก่อนทำการใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้อง ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวแพทย์หรือผู้ดูแลจะทำการแจ้งผู้ป่วยก่อนอยู่แล้ว รวมไปถึงจะมีการแจ้งรายละเอียดต่างให้ผู้ป่วยทราบก่อนทำการใส่สายยางให้อาหาร และขั้นตอนในการใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้องนั้น ผู้ป่วยจะได้รับยาชาโดยการอมและพ่นในคอ หรือบางกรณีอาจจะให้ยาสลบทางหลอดเลือดดำหรือการดมยาสลบ

ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแล้วแต่กรณี แพทย์จะใส่กล้องส่องกระเพาะอาหารเข้าไปในปากผ่านหลอดอาหารสู่กระเพาะอาหาร และฉีดยาชาที่หน้าท้องเพื่อเจาะใส่สายให้อาหารซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที ต่อมาหลังจากที่แพทย์ใส่สายยางให้อาหารผ่านทางหน้าท้องแล้ว ผู้ป่วยต้องงดอาหารประมาณ 1 – 3 วัน และเมื่อแผลที่ได้รับการเจาะกระเพาะอาหารสมานตัวกันดีแล้ว แพทย์จะเริ่มให้อาหารทางหน้าท้อง ซึ่งผู้ดูแลจะต้องคอยหมั่นสังเกตและดูแลรักษาความสะอาดของบาดแผลที่ได้ทำการเจาะให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้นแผลอาจจะเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ ถึงแม้ว่าจะมีแผลที่เล็กมาก แต่ความสะอาดของผู้ป่วยและบาดแผล ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

โดยการทำความสะอาดแผลรูเปิดและใต้แป้นสายสวน ใช้น้ำยาเบตาดีน และปิดผ้าก๊อซปราศจากเชื้อ วันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เมื่อแผลแห้งดีแล้ว ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผล หรือ น้ำต้มสุก ทำความสะอาดแผลและใต้แป้นสายสวนให้สะอาด เช็ดให้แห้ง และปิดผ้าก๊อซไว้ หลังจากที่ใส่สายยางให้อาหารผ่านทางหน้าท้องและแผลสมานตัวกันดีแล้ว ในเรื่องของสายยางให้อาหารที่บริเวณหน้าท้องก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดเช่นเดียวกัน ผู้ดูแลควรจะทำความสะอาดสายยางให้อาหารด้านนอกและข้อต่อด้วยสบู่และน้ำสะอาด ส่วนสายสวนชนิดระดับผิวหนังใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสะอาดเช็ด ห้ามหักหรือพับงอสายให้อาหารนานเกินไป อาจทำให้สายแตกหักหรือพับงอ ทำให้เกิดการอุดตันได้

และกรณีใช้สายยางให้อาหารทางหน้าท้องชนิดลูกโป่ง ควรหมั่นตรวจสอบว่าตำแหน่งของสายที่ระดับผิวหนังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เนื่องจากสายอาจเลื่อนเข้าไปในกระเพาะมากเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยได้ ต้องดูแลให้ระดับบ่าท่อที่อยู่ทางหน้าท้องอยู่ที่ขีด 6 เซนติเมตร และควรหมุนตัวสายทุก 2 – 3 วัน เพื่อป้องกันการฝังตัวของหัวเปิดในช่องกระเพาะอาหาร และที่สำคัญไม่ควรใช้อาหารที่มีความร้อนเพราะจะทำให้อายุการใช้งานของสายยางลดน้อยลง ซึ่งปกติจะใช้ได้นาน 6 – 8 เดือน หากสายยางให้อาหารเกิดบวมหรือหมดสภาพแล้ว ผู้ดูแลควรเปลี่ยนสายยางให้อาหารทันที



14
หมอประจำบ้าน: อีสุกอีใส (Chickenpox)

อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ส่งผลให้ร่างกายเกิดผื่นคัน เกิดตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำใสขนาดเล็กขึ้นบนผิวหนังทั่วร่างกาย อีสุกอีใสมักพบในบ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยเช่นเดียวกัน

อีสุกอีใสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่ายและรวดเร็ว โดยอาจติดเชื้อผ่านทางการสัมผัสบาดแผลของผู้ติดเชื้อโดยตรง ทางน้ำลาย การไอ การจาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ เช่น การอยู่ในที่ที่มีผู้คนจำนวนมากอย่างโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก

อาการของอีสุกอีใส

อาการของอีสุกอีใสอาจเริ่มต้นด้วยการมีไข้ต่ำ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย เฉื่อยชา เจ็บคอ และไม่อยากอาหารในช่วง 1–2 วันแรกของการติดเชื้อ หลังจากนั้นจะเกิดผื่นเป็นจุดสีแดงขึ้นตามใบหน้าและทั่วร่างกาย ซึ่งผื่นแดงเหล่านี้จะเริ่มกลายเป็นตุ่มพองขนาดเล็กที่มีน้ำใส ๆ อยู่ภายใน ในอีกประมาณ 2–4 วัน ก่อนที่จะเกิดการตกสะเก็ดในสัปดาห์ต่อมา

นอกจากนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการคันบริเวณที่เกิดผื่นหรือตุ่มพองอยู่บ่อยครั้ง อาการของอีสุกอีใสที่พบในเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรง แต่อาการที่พบในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจมีการพัฒนาโรคที่รุนแรงมากขึ้น และสำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้วก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยมากและมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติที่รุนแรงขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ดังนี้

    มีไข้สูงหรือติดต่อกันนานกว่า 4 วัน
    มีอาการไออย่างรุนแรง
    มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
    มีผื่นแดงเป็นจ้ำ หรือมีเลือดออก

สาเหตุของอีสุกอีใส

อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ หรือวีซีวี (Varicella Zoster Virus: VZV) โดยเชื้อจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยโดยตรง ทางน้ำลาย การไอ การจาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป และสามารถแพร่กระจายได้ง่าย เพราะโรคจะมีระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มแสดงอาการ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวและเผลอแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ การติดเชื้อในบางกรณีอาจเกิดจากการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดได้เช่นกัน เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคงูสวัด แต่จะพบได้น้อยมาก

การวินิจฉัยอีสุกอีใส

แพทย์จะวินิจฉัยในเบื้องต้นด้วยการดูลักษณะของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองที่เกิดขึ้นบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วไปและสอบถามอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เช่น มีไข้ ไม่อยากอาหาร หรือปวดศีรษะ

ในบางกรณี หากไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือไม่ แพทย์อาจนำตัวอย่างของเชื้อจากตุ่มน้ำบนผิวหนังผู้ป่วยไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาต้นตอความผิดปกติว่าเกิดจากเชื้อวีซีวีที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสหรือเกิดจากเชื้อชนิดอื่น

การรักษาอีสุกอีใส

ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน แต่ในผู้มีอาการรุนแรงหรือมีเงื่อนไขสุขภาพอื่น ๆ เช่น เด็กเล็ก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมา

ส่วนการรักษาจากแพทย์ จะเป็นรักษาแบบประคับประคองตามอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคเป็นหลัก เช่น

    ให้ยาลดไข้ในกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่แอสไพริน (Non-aspirin Medications) เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อช่วยบรรเทาความไม่สบายตัวจากอาการไข้ที่เกิดขึ้น
    ให้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ชนิดยาทาภายนอกอย่างคาลาไมน์โลชั่น (Calamine Lotion) เพื่อช่วยบรรเทาอาการคันจากผื่นหรือตุ่มนูนที่เกิดขึ้น และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง
    ให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ในผู้ที่มีอาการรุนแรงเพื่อช่วยฆ่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของอีสุกอีใส

ผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส อาจเกิดอาการที่รุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใสที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อ
    การติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ป-เอ (Group A Streptococcal Infections)
    โรคปอดบวม
    โรคสมองอักเสบ
    ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (Cerebellar Ataxia) เป็นการประสานงานของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติโดยมีสาเหตุมาจากการทำงานของสมองส่วนซีรีเบลลัม ทำให้เกิดอาการเดินเซ

การป้องกันอีสุกอีใส

การป้องกันที่ปลอดภัยและค่อนข้างมีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 1 ปี และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 4–6 ปี

สำหรับผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อนจะต้องฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็มเช่นกัน โดยควรฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันประมาณ 28 วัน ซึ่งวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและลดความรุนแรงของอาการลงได้มากถึงประมาณ 90% แต่การฉีดวัคซีนในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน

15
หมอประจำบ้าน: อีสุกอีใส (Chickenpox)

อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ส่งผลให้ร่างกายเกิดผื่นคัน เกิดตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำใสขนาดเล็กขึ้นบนผิวหนังทั่วร่างกาย อีสุกอีใสมักพบในบ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยเช่นเดียวกัน

อีสุกอีใสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่ายและรวดเร็ว โดยอาจติดเชื้อผ่านทางการสัมผัสบาดแผลของผู้ติดเชื้อโดยตรง ทางน้ำลาย การไอ การจาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ เช่น การอยู่ในที่ที่มีผู้คนจำนวนมากอย่างโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก

อาการของอีสุกอีใส

อาการของอีสุกอีใสอาจเริ่มต้นด้วยการมีไข้ต่ำ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย เฉื่อยชา เจ็บคอ และไม่อยากอาหารในช่วง 1–2 วันแรกของการติดเชื้อ หลังจากนั้นจะเกิดผื่นเป็นจุดสีแดงขึ้นตามใบหน้าและทั่วร่างกาย ซึ่งผื่นแดงเหล่านี้จะเริ่มกลายเป็นตุ่มพองขนาดเล็กที่มีน้ำใส ๆ อยู่ภายใน ในอีกประมาณ 2–4 วัน ก่อนที่จะเกิดการตกสะเก็ดในสัปดาห์ต่อมา

นอกจากนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการคันบริเวณที่เกิดผื่นหรือตุ่มพองอยู่บ่อยครั้ง อาการของอีสุกอีใสที่พบในเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรง แต่อาการที่พบในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจมีการพัฒนาโรคที่รุนแรงมากขึ้น และสำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้วก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยมากและมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติที่รุนแรงขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ดังนี้

    มีไข้สูงหรือติดต่อกันนานกว่า 4 วัน
    มีอาการไออย่างรุนแรง
    มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
    มีผื่นแดงเป็นจ้ำ หรือมีเลือดออก

สาเหตุของอีสุกอีใส

อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ หรือวีซีวี (Varicella Zoster Virus: VZV) โดยเชื้อจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยโดยตรง ทางน้ำลาย การไอ การจาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป และสามารถแพร่กระจายได้ง่าย เพราะโรคจะมีระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มแสดงอาการ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวและเผลอแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ การติดเชื้อในบางกรณีอาจเกิดจากการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดได้เช่นกัน เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคงูสวัด แต่จะพบได้น้อยมาก

การวินิจฉัยอีสุกอีใส

แพทย์จะวินิจฉัยในเบื้องต้นด้วยการดูลักษณะของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองที่เกิดขึ้นบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วไปและสอบถามอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เช่น มีไข้ ไม่อยากอาหาร หรือปวดศีรษะ

ในบางกรณี หากไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือไม่ แพทย์อาจนำตัวอย่างของเชื้อจากตุ่มน้ำบนผิวหนังผู้ป่วยไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาต้นตอความผิดปกติว่าเกิดจากเชื้อวีซีวีที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสหรือเกิดจากเชื้อชนิดอื่น

การรักษาอีสุกอีใส

ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน แต่ในผู้มีอาการรุนแรงหรือมีเงื่อนไขสุขภาพอื่น ๆ เช่น เด็กเล็ก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมา

ส่วนการรักษาจากแพทย์ จะเป็นรักษาแบบประคับประคองตามอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคเป็นหลัก เช่น

    ให้ยาลดไข้ในกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่แอสไพริน (Non-aspirin Medications) เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อช่วยบรรเทาความไม่สบายตัวจากอาการไข้ที่เกิดขึ้น
    ให้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ชนิดยาทาภายนอกอย่างคาลาไมน์โลชั่น (Calamine Lotion) เพื่อช่วยบรรเทาอาการคันจากผื่นหรือตุ่มนูนที่เกิดขึ้น และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง
    ให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ในผู้ที่มีอาการรุนแรงเพื่อช่วยฆ่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของอีสุกอีใส

ผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส อาจเกิดอาการที่รุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใสที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อ
    การติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ป-เอ (Group A Streptococcal Infections)
    โรคปอดบวม
    โรคสมองอักเสบ
    ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (Cerebellar Ataxia) เป็นการประสานงานของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติโดยมีสาเหตุมาจากการทำงานของสมองส่วนซีรีเบลลัม ทำให้เกิดอาการเดินเซ

การป้องกันอีสุกอีใส

การป้องกันที่ปลอดภัยและค่อนข้างมีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 1 ปี และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 4–6 ปี

สำหรับผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อนจะต้องฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็มเช่นกัน โดยควรฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันประมาณ 28 วัน ซึ่งวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและลดความรุนแรงของอาการลงได้มากถึงประมาณ 90% แต่การฉีดวัคซีนในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน

หน้า: [1] 2 3 ... 34